บ่ายวันหนึ่งขณะที่จอมนิ่งอยู่ในสมาธิจิต
เณรน้อยรับคำสั่งท่านสูญญตาจารย์มาตามให้ไปพบ
จอมเดินถึงบริเวณกุฏิเห็นคนผู้หนึ่งนั่งสนทนาอยู่กับท่าน
มีหญิงสาวคอยรินชาปรนนิบัติทั้งสอง
จอมจำได้ในทันที
เป็นเหนือเซียนมังกรไฟเจ้าสำนักอัคคีกับดอกบัว
มีเหล่าศิษย์สำนักอัคคีนั่งจับกลุ่มอยู่ห่าง ๆ
จอมเข้าไปคุกเข่าไหว้เจ้าสำนักอัคคี
“สวัสดีจอม” เจ้าสำนัคอัคคียิ้มทักทาย “นั่งสิ....ไม่ได้เจอกันนานเจ้าสบายดี?”
“ขอรับ สบายดีขอรับ”
“อยู่ที่นี่เป็นอย่างไรบ้าง?”
“ดีขอรับ ผู้เยาว์ได้เรียนรู้มากมายจากการอ่านพระคัมภีร์”
เจ้าสำนักอัคคีลูบเคราขาวกล่าวว่า
“ดี..ดี เยาว์วัยหมั่นศึกษา....” จากนั้นกล่าวกับท่านสูญญตาจารย์
“ข้าอยากไว้วานศิษย์ท่านสักเรื่องหวังท่านจะอนุญาต”
อริยสงฆ์พยักหน้า เหนือเซียนมังกรไฟกล่าวกับจอมว่า
“ข้าจะเดินหมากกับท่านสูญญตา วานเจ้าพาดอกบัวเดินชมสถานที่หน่อย
ข้ากลัวหลานน้อยของข้าจะเบื่อ...”
เจ้าสำนักอัคคีกล่าวพลางมองดอกบัวด้วยความเอ็นดู เธอยิ้มเอียงอาย
“ขอรับ...เชิญ ขอรับ” จอมก้มกราบท่านสูญญตาจารย์จากนั้นขยับถอยออกมา
ดอกบัวจัดเตรียมชาไว้สำหรับอาวุโสทั้งสองเสร็จสรรพก้าวตามจอมออกจากบริเวณกุฏิ
สูญญตารามเป็นสำนักสงฆ์แบบวัดป่ามีอาณาเขตกว้างใหญ่ ร่มรื่นด้วยเงาไม้
มีทางเดินเล็ก ๆ ทอดยาวคดเคี้ยวเชื่อมวิหารต่าง ๆ ที่ล้วนสร้างจากวัสดุธรรมชาติ ส่วนหน้าเป็นส่วนปฏิบัติธรรม ส่วนหลังลึกเข้าไปในดงไม้เป็นสังฆาวาส มีธารน้ำแยกพื้นที่ทั้งสองออกจากกัน ธารน้าไหลเลี้ยวลดเชื่อมสู่สระน้ำขนาดใหญ่ ในสระเต็มด้วยบัวหลากหลายสายพันธุ์บานดอกสะพรั่ง
จอมพาดอกบัวแวะชมสถานที่ต่าง ๆ ตะวันบ่ายฉายแสงเจิดจ้าทอดลำแทรกม่านไม้ แต้มลายสลับเงาใบไปบนเส้นทางคดเคี้ยว
หลังแนะนำสถานที่จอมได้แต่นิ่งอึ้ง ในชีวิต..ไม่เคยใกล้ชิดหญิงสาวเช่นนี้ มีคำพูดมากมายอยากกล่าว กลับไม่รู้จะเริ่มอย่างไร? ดอกบัวเป็นผู้เริ่มต้นสนทนา
“ท่านพี่มาพักอยู่ที่นี่นานแล้วหรือไร?”
“ร่วมสองเดือนแล้วขอรับ” จอมตอบ
“ไม่ต้องพูดขอรับก็ได้ ข้าพเจ้าอ่อนวัยกว่าท่านพี่”
“ขอรับ” ยังคงรับคำเดิม ดอกบัวแย้มยิ้ม
“มาอยู่ที่นี่มีท่านอาจารย์สอนวิชาเดินหมากให้...คงเก่งขึ้นมากสินะ”
“เปล่าขอรับ” ดอกบัวยิ้ม
“ท่านสูญญตาจารย์เพียงบอกให้ข้าพเจ้าอ่านพระคัมภีร์และนั่งนิ่ง ๆ”
“แค่นั้นเองหรือเช่นนั้นจะเดินหมากเก่งขึ้นได้อย่างไร?”
“ไม่ทราบขอ.....” ดอกบัวยิ้ม
“ท่านลุงบอกว่าท่านพี่จะเข้าประลองชิงตำแหน่งยอดเซียน?”
“เป็นความจริงขอ....” จอมยิ้มบ้าง
“ท่านพี่มั่นใจแค่ใหน?”
“ข้าพเจ้าไม่รู้จักคำว่ามั่นใจ ข้าพเจ้าเพียงนั่งลงแล้วเดินหมาก...ทำไมต้องมั่นใจด้วย?” จอมย้อนถาม
“ความมั่นใจ เป็นพลังที่จะเอาชนะการแข่งขัน”
“ข้าพเจ้ามิได้คิดเอาชนะ ข้าพเจ้าเพียงเข้าร่วมการเดินหมากเท่านั้น”
“เพียงเข้าร่วมการเดินหมาก!?”
“ขอ..เอ่อ..ครับ”
“หากไม่ต้องการชัยชนะเยี่ยงนั้นจอมเข้าแข่งขันเพื่อวัตถุประสงค์ใดหรือ?”
“ท่านเทพยุทธ์นิรนามบอกว่าข้าพเจ้าอาจได้พบคำตอบที่ค้นหา”
“คำตอบ?” ดอกบัวฉงนใจ
“ครับ..”
“อ๋อ..เรื่องที่ท่านพี่คุยกับท่านลุงที่สำนักเมื่อหลายวันก่อนใช่หรือไม่?”
“ใช่ครับ..ข้าพเจ้าอาจได้พบความหมายของชีวิตจากการเข้าร่วมการแข่งขัน”
“ไยจึงต้องการค้นหาความหมายของชีวิต? ข้าพเจ้าไม่เคยขบคิดเรื่องเช่นนี้เลย”
“เป็นเพียงคำถามที่ผุดขึ้นมาในใจ ข้าพเจ้าจึงถามอาจารย์”
“ท่านตอบว่ากระไร”
“ท่านไม่ตอบแต่สั่งให้ข้าพเจ้าออกเดินทางค้นหา..”
“จอมจึงเดินทางรอนแรมมา”
“ครับ”
ดอกบัวแย้มยิ้มประกายตาสดใสฉายวาวเจิดจ้ากว่าสายแดดที่ทอดผ่านม่านไม้
ดวงตาคู่นั้นทำให้โลกของจอมพลอยสว่างไสวเต็มด้วยชีวิตชีวา
ทั้งสองลัดเลาะตามเส้นทางที่สงบวิเวก เงาไม้เต้นไหวล้อลมบ่ายอยู่รายรอบ
จอมรู้สึกเหมือนลอยละลิ่วอยู่ในสถานที่พิเศษพิสดาร มีเสียงกังวานใสดุจกังสดาลเงินดังหวานแว่ว ช่างเป็นช่วงเวลาปีติสุขที่ในชีวิตไม่เคยพบพาน..อยากให้เวลาเช่นนี้ดำเนินไปชั่วนิรันดร์...
ทั้งคู่แวะนั่งสนทนาริมสระน้ำ
ผีเสื้อเหลืองตัวน้อยบินแวะเวียนทักทายบัวหลวงที่เบ่งบานดอกขาวอยู่ปริ่มน้ำ
จนคล้อยเย็น จึงกลับคืนสู่บริเวณกุฏิท่านสูญญตาจารย์
สักครู่ ทั้งคณะก็ลากลับ
ดอกบัวชักชวนจอมให้เดินออกมาส่งถึงปากทางเข้าอาราม
จอมยืนมองคณะจากไปจนลับตา
ลืมไปว่า..ใบหน้ายังมีรอยยิ้มค้างอยู่
คุ ณ ค่ า ที่ แ ท้ จ ริ ง ข อ ง ค น ค น ห นึ่ ง
ก ลั บ มิ ไ ด้ อ ยู่ ที่ ร่ า ง ก า ย เ ลื อ ด เ นื้ อ
ห า ก อ ยู่ ที่ ป ณิ ธ า น แ ล ะ จิ ต ใ จ ข อ ง เ ข า
‘เดียวดายใต้เงาจันทร์...โก้วเล้ง : รำพัน’