๑๓.กังสดาล

บ่ายวันหนึ่งขณะที่จอมนิ่งอยู่ในสมาธิจิต 
เณรน้อยรับคำสั่งท่านสูญญตาจารย์มาตามให้ไปพบ

จอมเดินถึงบริเวณกุฏิเห็นคนผู้หนึ่งนั่งสนทนาอยู่กับท่าน
มีหญิงสาวคอยรินชาปรนนิบัติทั้งสอง
จอมจำได้ในทันที
เป็นเหนือเซียนมังกรไฟเจ้าสำนักอัคคีกับดอกบัว
มีเหล่าศิษย์สำนักอัคคีนั่งจับกลุ่มอยู่ห่าง ๆ

จอมเข้าไปคุกเข่าไหว้เจ้าสำนักอัคคี

“สวัสดีจอม”  เจ้าสำนัคอัคคียิ้มทักทาย  “นั่งสิ....ไม่ได้เจอกันนานเจ้าสบายดี?”

“ขอรับ สบายดีขอรับ”

“อยู่ที่นี่เป็นอย่างไรบ้าง?”

“ดีขอรับ ผู้เยาว์ได้เรียนรู้มากมายจากการอ่านพระคัมภีร์”   

เจ้าสำนักอัคคีลูบเคราขาวกล่าวว่า

“ดี..ดี  เยาว์วัยหมั่นศึกษา....”  จากนั้นกล่าวกับท่านสูญญตาจารย์
“ข้าอยากไว้วานศิษย์ท่านสักเรื่องหวังท่านจะอนุญาต”

อริยสงฆ์พยักหน้า  เหนือเซียนมังกรไฟกล่าวกับจอมว่า 

“ข้าจะเดินหมากกับท่านสูญญตา  วานเจ้าพาดอกบัวเดินชมสถานที่หน่อย
ข้ากลัวหลานน้อยของข้าจะเบื่อ...” 

เจ้าสำนักอัคคีกล่าวพลางมองดอกบัวด้วยความเอ็นดู  เธอยิ้มเอียงอาย

“ขอรับ...เชิญ ขอรับ” จอมก้มกราบท่านสูญญตาจารย์จากนั้นขยับถอยออกมา

ดอกบัวจัดเตรียมชาไว้สำหรับอาวุโสทั้งสองเสร็จสรรพก้าวตามจอมออกจากบริเวณกุฏิ

สูญญตารามเป็นสำนักสงฆ์แบบวัดป่ามีอาณาเขตกว้างใหญ่ ร่มรื่นด้วยเงาไม้ 
มีทางเดินเล็ก ๆ ทอดยาวคดเคี้ยวเชื่อมวิหารต่าง ๆ ที่ล้วนสร้างจากวัสดุธรรมชาติ  ส่วนหน้าเป็นส่วนปฏิบัติธรรม  ส่วนหลังลึกเข้าไปในดงไม้เป็นสังฆาวาส  มีธารน้ำแยกพื้นที่ทั้งสองออกจากกัน  ธารน้าไหลเลี้ยวลดเชื่อมสู่สระน้ำขนาดใหญ่  ในสระเต็มด้วยบัวหลากหลายสายพันธุ์บานดอกสะพรั่ง

จอมพาดอกบัวแวะชมสถานที่ต่าง ๆ ตะวันบ่ายฉายแสงเจิดจ้าทอดลำแทรกม่านไม้  แต้มลายสลับเงาใบไปบนเส้นทางคดเคี้ยว

หลังแนะนำสถานที่จอมได้แต่นิ่งอึ้ง  ในชีวิต..ไม่เคยใกล้ชิดหญิงสาวเช่นนี้  มีคำพูดมากมายอยากกล่าว  กลับไม่รู้จะเริ่มอย่างไร?  ดอกบัวเป็นผู้เริ่มต้นสนทนา

“ท่านพี่มาพักอยู่ที่นี่นานแล้วหรือไร?”

“ร่วมสองเดือนแล้วขอรับ” จอมตอบ

“ไม่ต้องพูดขอรับก็ได้ ข้าพเจ้าอ่อนวัยกว่าท่านพี่”

“ขอรับ” ยังคงรับคำเดิม  ดอกบัวแย้มยิ้ม

“มาอยู่ที่นี่มีท่านอาจารย์สอนวิชาเดินหมากให้...คงเก่งขึ้นมากสินะ”

“เปล่าขอรับ” ดอกบัวยิ้ม

“ท่านสูญญตาจารย์เพียงบอกให้ข้าพเจ้าอ่านพระคัมภีร์และนั่งนิ่ง ๆ”

“แค่นั้นเองหรือเช่นนั้นจะเดินหมากเก่งขึ้นได้อย่างไร?”

“ไม่ทราบขอ.....” ดอกบัวยิ้ม

“ท่านลุงบอกว่าท่านพี่จะเข้าประลองชิงตำแหน่งยอดเซียน?”

“เป็นความจริงขอ....” จอมยิ้มบ้าง

“ท่านพี่มั่นใจแค่ใหน?”

“ข้าพเจ้าไม่รู้จักคำว่ามั่นใจ  ข้าพเจ้าเพียงนั่งลงแล้วเดินหมาก...ทำไมต้องมั่นใจด้วย?” จอมย้อนถาม

“ความมั่นใจ เป็นพลังที่จะเอาชนะการแข่งขัน”

“ข้าพเจ้ามิได้คิดเอาชนะ  ข้าพเจ้าเพียงเข้าร่วมการเดินหมากเท่านั้น”

“เพียงเข้าร่วมการเดินหมาก!?”

“ขอ..เอ่อ..ครับ”

“หากไม่ต้องการชัยชนะเยี่ยงนั้นจอมเข้าแข่งขันเพื่อวัตถุประสงค์ใดหรือ?”

“ท่านเทพยุทธ์นิรนามบอกว่าข้าพเจ้าอาจได้พบคำตอบที่ค้นหา”

“คำตอบ?” ดอกบัวฉงนใจ

“ครับ..”

“อ๋อ..เรื่องที่ท่านพี่คุยกับท่านลุงที่สำนักเมื่อหลายวันก่อนใช่หรือไม่?”

“ใช่ครับ..ข้าพเจ้าอาจได้พบความหมายของชีวิตจากการเข้าร่วมการแข่งขัน”

“ไยจึงต้องการค้นหาความหมายของชีวิต?  ข้าพเจ้าไม่เคยขบคิดเรื่องเช่นนี้เลย”

“เป็นเพียงคำถามที่ผุดขึ้นมาในใจ  ข้าพเจ้าจึงถามอาจารย์”

“ท่านตอบว่ากระไร”

“ท่านไม่ตอบแต่สั่งให้ข้าพเจ้าออกเดินทางค้นหา..”

“จอมจึงเดินทางรอนแรมมา”

“ครับ”

ดอกบัวแย้มยิ้มประกายตาสดใสฉายวาวเจิดจ้ากว่าสายแดดที่ทอดผ่านม่านไม้
ดวงตาคู่นั้นทำให้โลกของจอมพลอยสว่างไสวเต็มด้วยชีวิตชีวา

ทั้งสองลัดเลาะตามเส้นทางที่สงบวิเวก  เงาไม้เต้นไหวล้อลมบ่ายอยู่รายรอบ
จอมรู้สึกเหมือนลอยละลิ่วอยู่ในสถานที่พิเศษพิสดาร  มีเสียงกังวานใสดุจกังสดาลเงินดังหวานแว่ว  ช่างเป็นช่วงเวลาปีติสุขที่ในชีวิตไม่เคยพบพาน..อยากให้เวลาเช่นนี้ดำเนินไปชั่วนิรันดร์...

ทั้งคู่แวะนั่งสนทนาริมสระน้ำ
ผีเสื้อเหลืองตัวน้อยบินแวะเวียนทักทายบัวหลวงที่เบ่งบานดอกขาวอยู่ปริ่มน้ำ

จนคล้อยเย็น จึงกลับคืนสู่บริเวณกุฏิท่านสูญญตาจารย์ 
สักครู่ ทั้งคณะก็ลากลับ 
ดอกบัวชักชวนจอมให้เดินออกมาส่งถึงปากทางเข้าอาราม 
จอมยืนมองคณะจากไปจนลับตา
ลืมไปว่า..ใบหน้ายังมีรอยยิ้มค้างอยู่

คุ ณ ค่ า ที่ แ ท้ จ ริ ง ข อ ง ค น ค น ห นึ่ ง 
ก ลั บ มิ ไ ด้ อ ยู่ ที่ ร่ า ง ก า ย   เ ลื อ ด เ นื้ อ
ห า ก อ ยู่ ที่   ป ณิ ธ า น   แ ล ะ จิ ต ใ จ ข อ ง เ ข า
             ‘เดียวดายใต้เงาจันทร์...โก้วเล้ง : รำพัน’