๑๔.คัมภีร์สูญญตา

จอมผ่านวันคืนโดยมิได้ใส่ใจวันเวลา  เพียงปฏิบัติกิจประจำวัน  ร่วมสวดมนต์ทำวัตรเช้า-เย็น ทำความสะอาดกุฏิ ปัดกวาดลานธรรมร่วมกับเหล่าเณรน้อย
ปฏิบัติโยคะ ผสานการเคลื่อนไหวร่างกาย ลมหายใจ จิตใจเป็นหนึ่งเดียว

วันหนึ่ง ขณะจอมนิ่งอยู่ในสมาธิจิต ณ ศาลาปฏิบัติธรรม  พลันยินเสียงเรียกจากท่านสูญญตาจารย์แว่วมา

จอมลุกขึ้นจากอาสนะตรงไปยังกุฏิอริยสงฆ์  เห็นท่านนั่งเข้าฌาณอยู่หน้ากุฏิ
จอมคลานเข้าไปกราบ  ท่านสูญญตาจารย์ลืมตาขึ้น

“พระคุณท่านเรียกหากระผมหรือขอรับ?”

“เจ้าได้ยินเสียงอาตมาก็แสดงว่าถึงเวลาแล้ว...จงนั่งลงเข้าสู่สมาธิจิต..ตั้งใจฟังอาตมาให้ดี”

จอมก้มกราบนั่งขัดสมาธิพนมมือ หลับตาเข้าสู่ภวังคจิต  เสียงท่านสูญญตาจารย์เหมือนดังก้องมาจากสุดฟากฝั่งมหานที  กังวานไปทั้งห้วงภวังค์อันเวิ้งว้าง

“สรรพสิ่งล้วนเป็นหนึ่งเดียว...เกี่ยวพันเชื่อมโยงไร้ที่สิ้นสุด จงรับรู้การมีอยู่และการแปรเปลี่ยน..ความทรงจำในอดีต, ความรู้ที่ศึกษา, ความรู้สึกนึกคิดในปัจจุบันล้วนปิดกั้น  กักขัง ไม่ให้ ‘ใจ’ เป็นอิสระ...

คำสอนของคุรุใด ล้วนนำไปสู่เป้าหมาย ความเชื่อเฉพาะตน  หลักการที่เหล่าคุรุบัญญัติขึ้น..พันผูกไม่มีวันหลุดพ้น

จงสลายสรรพสิ่ง..รวมเป็นหนึ่งเดียว  เปิดใจออกสู่ ‘ความจริง’ อันกว้างใหญ่ ไร้ที่สิ้นสุดคือ ‘อนัตตา’ แม้คำของอาตมา..เมื่อเข้าใจจงละเสีย

อาตมาหาได้เป็นคุรุหรืออาจารย์  เป็นเพียงความว่างไม่สุดสิ้น  เป็นสรรพสิ่งในห้วงจักรวาลและมิได้เป็นอันใด

ถ้อยคำ...หรือตัวอักษร หาใช่ความจริง  จงสลายให้หมดสิ้น

‘ความเข้าใจ’

ลุ่มลึก..กว้างใหญ่..เกินกว่าสัญลักษณ์ใด ๆ ก้าวล่วงไปถึง
จงไปยังที่ซึ่ง ‘มี’ และ ‘ไร้’ สรรพสิ่ง..คือ..สูญญตา”

พลันพลังสว่างจ้าพวยพุ่งเข้าปะทะจอมในความมืดสนิทแห่งภวังค์
พุ่งผ่านร่างจอมที่โปร่งใส..ไปในความมืดมิดนิรันดร์กาล

“จงลืมตาขึ้น” เสียงท่านสูญญตาจารย์แว่วมาจากที่แสนไกล

จอมลืมตาขึ้นช้า ๆ ภาพเบื้องหน้า สว่างใส เหมือนทุกสิ่งอยู่ใกล้แค่ตา
เบื้องหน้าที่เคยว่างเปล่า  กลับวางไว้ด้วยกระดานหมากทำจากศิลาหนาสีดำสนิทเป็นมันวาวพร้อมตัวหมากศิลายืนเรียงอยู่ด้านข้าง

ท่านสูญญตาจารย์ค่อย ๆ ลืมตา  ยกฝ่ามือขวาขึ้นเหนือกระดานหมาก
พลันมีแสงจ้าสว่างวาบขึ้นใต้ฝ่ามือ เกิดมวลหมอกขาวพลิกพลิ้ว  ท่านสูญญตาจารย์หงายฝ่ามือวนไปข้างหน้าแล้ววกกลับอย่างรวดเร็ว  ไอหมอกสว่างเรืองเคลื่อนตัวเป็นสายตามมือ ม้วนลงโอบล้อมตัวหมาก  รวบตัวหมากทั้งหมดลอยขึ้น  ท่านยกมือขึ้นสูงแล้ววาดเป็นวงไปบนกระดานหมาก

หมากทั้งหมดทิ้งตัวลงบนตำแหน่ง  หมอกควันค่อย ๆ จางหายเผยตัวหมากผิวมันสะท้อนเงายืนสงบนิ่งบนกระดานศิลา

กลหมากสูญญตาอันล้ำลึก วางอยู่ตรงหน้าจอม

อริยสงฆ์หลับตาเข้าสู่สมาธิ
เสียงจิตของท่านดังก้องในโสตประสาทของจอม

“เจ้าได้รับการฝึกฝนที่กล้าแข็งมาจากอาจารย์  ใช้เวลาเพียงไม่นานเจ้าสามารถมาถึงจุดนี้นับเป็นหนึ่งในใต้หล้าที่หาได้ยากยิ่ง  เวลาผ่านมาหลายสิบปีไม่เคยมีผู้ใดสามารถแก้กลหมากของอาตมาได้  หวังเจ้าใช้พลังฝึกปรือให้เต็มที่ ‘คัมภีร์สูญญตา’ ที่นักเดินหมากทั่วแผ่นดินหมายปอง  ซุกซ่อนอยู่ตรงหน้าเจ้า 
อาตมาหวังว่าหากเจ้าได้ไป  จะใช้ให้เป็นประโยชน์ต่อสรรพชีวิต”

เสียงจิตแผ่วหาย

พลังอุ่นขุมหนึ่งก่อตัวขึ้นที่ตรงสุดลมหายใจ  ขยายตัวแผ่กว้างขึ้นทุกทีจนแทบจะปะทุออกภายนอก  จอมไม่ทราบจะรั้งหรือปลดปล่อยออกไป ได้แต่กลั้นลมหายใจนิ่งจนสุดจะทานทน

พลันเสียงจิตอริยสงฆ์ดังก้อง

“ปลดปล่อย!”

พลังหนักหน่วงเคลื่อนเข้าปะทะกันที่ฝ่ามือ  จอมแยกฝ่ามือที่พนมอยู่ออกจากกัน  พลังแสงสีฟ้าอ่อนก่อตัวขยายขึ้นระหว่างฝ่ามือ  จอมมองเข้าไปในพลังแสง  ใจกลางแสงฟ้าเป็นวงแสงเล็ก ๆ สีน้ำเงินเข้ม หมุนรอบตัวอย่างรวดเร็ว

“แก้กลหมาก!”

เสียงจิตท่านสูญญตาจารย์ดังก้องอีกครั้ง

จอมบีบอัดมวลพลังไว้ด้วยสองฝ่ามือ  เคลื่อนมือขวาวาดเป็นวงรอบกระดานหมาก  พลังแสงฟ้าแผ่เข้าห่อหุ้มทั้งกระดาน  วงแสงน้ำเงินเข้มเคลื่อนไหวไปตามสายตาที่จอมมองหมากแต่ละตัวอย่างรวดเร็ว

ภาพกระดานไม้คร่ำคร่าที่จอมเคยใช้เดินหมากกับอาจารย์ปรากฏขึ้น  เห็นกลหมากต่าง ๆ ที่อาจารย์เคยพร่ำสอน  ตัวหมากกระจายตำแหน่งสลับสับเปลี่ยน กลแล้ว กลเล่า ด้วยความเร็วจนไม่อาจจับตา

ภาพความทรงจำในอดีตทะยอยฉายกลับมาหาปัจจุบัน

ภาพหนครั้งเริ่มฝึกฝนเดินหมากถึงประลองหมากฝ่าด่านเข้าสู่ทำเนียบเซียน..จนถึงหักล้างกับ ‘อสูรเหล็กไฟ’

สุดท้าย..

เป็นความว่างอันไพศาล 

พลันวงแสงน้ำเงินเข้มที่แล่นพล่านหยุดสงบนิ่ง  จอมวนมือขวารอบแผ่นศิลา  สูดหายใจลึก เคลื่อนพลังทั้งหมดสู่เบื้องบน  มวลพลังฟ้ารวบตัวหมากทั้งหมดลอยขึ้น  จอมผ่อนลมหายใจสลายพลังคืนสู่ฝ่ามือ  ตัวหมากลอยละลิ่วแบ่งฟากลงยืนข้างกระดาน  ทุกตัวกลับคืนสู่ตำแหน่งเดิม

จอมก้มลงกราบแล้วกล่าว

“ขอพระคุณท่านอย่าได้ตำหนิ  ผู้เยาว์พบว่าผู้เยาว์หาได้ต้องการคัมภีร์  ทุกถ้อยคำของพระคุณท่าน  ผู้เยาว์กระจ่างแจ้งแล้ว”

พลันยินเสียงศิลาปลิแตก  แผ่นกระดานศิลาแยกเป็นสองส่วน  เผยให้เห็นคัมภีร์ใบลานสอดไว้ในเนื้อหิน

“ประเสริฐ ประเสริฐ” อริยสงฆ์กล่าว  “ไม่ต้องการ กลับได้มา”

ท่านเอื้อมมือลูบศีรษะจอมด้วยความปราณี

“ทะเลทุกข์เวิ้งว้าง คืนฝั่งกลับพบสุข  เจ้าลุถึงสูญญตาแล้วเด็กเอย”

พลังอุ่นจากฝ่ามืออริยสงฆ์แผ่ซ่านผ่านศีรษะครอบคลุมไปทั่วกาย  แม้ท่านดึงมือกลับ  พลังอบอุ่นขุมนั้นยังคลี่คลุมห่อหุ้มร่างกายไม่จากไป

“คัมภีร์สูญญตาสถิตอยู่กับใจเจ้าแล้ว  ตัวอักษรใด ๆ ไร้ความหมายอีกต่อไป
หวังว่าเจ้าจะนำหลักธรรม  ส่งต่อเพื่อนมนุษย์เพื่อสันติสุขของสรรพชีวิต”

“ขอรับ” จอมก้มลงกราบ

“เจริญพร”

 

ไ  ม่  มี  ภั  ย  ใ  ด  จ  ะ  ยิ่  ง  ใ  ห  ญ่  ไ  ป  ก  ว่  า.  .  .

ก  า  ร  ดู  แ  ค  ล  น  ข้  า  ศึ  ก
                                          ‘เต๋าเต๊กเก็ง.....เหลาจื้อ’