จอมผ่านวันคืนโดยมิได้ใส่ใจวันเวลา เพียงปฏิบัติกิจประจำวัน ร่วมสวดมนต์ทำวัตรเช้า-เย็น ทำความสะอาดกุฏิ ปัดกวาดลานธรรมร่วมกับเหล่าเณรน้อย
ปฏิบัติโยคะ ผสานการเคลื่อนไหวร่างกาย ลมหายใจ จิตใจเป็นหนึ่งเดียว
วันหนึ่ง ขณะจอมนิ่งอยู่ในสมาธิจิต ณ ศาลาปฏิบัติธรรม พลันยินเสียงเรียกจากท่านสูญญตาจารย์แว่วมา
จอมลุกขึ้นจากอาสนะตรงไปยังกุฏิอริยสงฆ์ เห็นท่านนั่งเข้าฌาณอยู่หน้ากุฏิ
จอมคลานเข้าไปกราบ ท่านสูญญตาจารย์ลืมตาขึ้น
“พระคุณท่านเรียกหากระผมหรือขอรับ?”
“เจ้าได้ยินเสียงอาตมาก็แสดงว่าถึงเวลาแล้ว...จงนั่งลงเข้าสู่สมาธิจิต..ตั้งใจฟังอาตมาให้ดี”
จอมก้มกราบนั่งขัดสมาธิพนมมือ หลับตาเข้าสู่ภวังคจิต เสียงท่านสูญญตาจารย์เหมือนดังก้องมาจากสุดฟากฝั่งมหานที กังวานไปทั้งห้วงภวังค์อันเวิ้งว้าง
“สรรพสิ่งล้วนเป็นหนึ่งเดียว...เกี่ยวพันเชื่อมโยงไร้ที่สิ้นสุด จงรับรู้การมีอยู่และการแปรเปลี่ยน..ความทรงจำในอดีต, ความรู้ที่ศึกษา, ความรู้สึกนึกคิดในปัจจุบันล้วนปิดกั้น กักขัง ไม่ให้ ‘ใจ’ เป็นอิสระ...
คำสอนของคุรุใด ล้วนนำไปสู่เป้าหมาย ความเชื่อเฉพาะตน หลักการที่เหล่าคุรุบัญญัติขึ้น..พันผูกไม่มีวันหลุดพ้น
จงสลายสรรพสิ่ง..รวมเป็นหนึ่งเดียว เปิดใจออกสู่ ‘ความจริง’ อันกว้างใหญ่ ไร้ที่สิ้นสุดคือ ‘อนัตตา’ แม้คำของอาตมา..เมื่อเข้าใจจงละเสีย
อาตมาหาได้เป็นคุรุหรืออาจารย์ เป็นเพียงความว่างไม่สุดสิ้น เป็นสรรพสิ่งในห้วงจักรวาลและมิได้เป็นอันใด
ถ้อยคำ...หรือตัวอักษร หาใช่ความจริง จงสลายให้หมดสิ้น
‘ความเข้าใจ’
ลุ่มลึก..กว้างใหญ่..เกินกว่าสัญลักษณ์ใด ๆ ก้าวล่วงไปถึง
จงไปยังที่ซึ่ง ‘มี’ และ ‘ไร้’ สรรพสิ่ง..คือ..สูญญตา”
พลันพลังสว่างจ้าพวยพุ่งเข้าปะทะจอมในความมืดสนิทแห่งภวังค์
พุ่งผ่านร่างจอมที่โปร่งใส..ไปในความมืดมิดนิรันดร์กาล
“จงลืมตาขึ้น” เสียงท่านสูญญตาจารย์แว่วมาจากที่แสนไกล
จอมลืมตาขึ้นช้า ๆ ภาพเบื้องหน้า สว่างใส เหมือนทุกสิ่งอยู่ใกล้แค่ตา
เบื้องหน้าที่เคยว่างเปล่า กลับวางไว้ด้วยกระดานหมากทำจากศิลาหนาสีดำสนิทเป็นมันวาวพร้อมตัวหมากศิลายืนเรียงอยู่ด้านข้าง
ท่านสูญญตาจารย์ค่อย ๆ ลืมตา ยกฝ่ามือขวาขึ้นเหนือกระดานหมาก
พลันมีแสงจ้าสว่างวาบขึ้นใต้ฝ่ามือ เกิดมวลหมอกขาวพลิกพลิ้ว ท่านสูญญตาจารย์หงายฝ่ามือวนไปข้างหน้าแล้ววกกลับอย่างรวดเร็ว ไอหมอกสว่างเรืองเคลื่อนตัวเป็นสายตามมือ ม้วนลงโอบล้อมตัวหมาก รวบตัวหมากทั้งหมดลอยขึ้น ท่านยกมือขึ้นสูงแล้ววาดเป็นวงไปบนกระดานหมาก
หมากทั้งหมดทิ้งตัวลงบนตำแหน่ง หมอกควันค่อย ๆ จางหายเผยตัวหมากผิวมันสะท้อนเงายืนสงบนิ่งบนกระดานศิลา
กลหมากสูญญตาอันล้ำลึก วางอยู่ตรงหน้าจอม
อริยสงฆ์หลับตาเข้าสู่สมาธิ
เสียงจิตของท่านดังก้องในโสตประสาทของจอม
“เจ้าได้รับการฝึกฝนที่กล้าแข็งมาจากอาจารย์ ใช้เวลาเพียงไม่นานเจ้าสามารถมาถึงจุดนี้นับเป็นหนึ่งในใต้หล้าที่หาได้ยากยิ่ง เวลาผ่านมาหลายสิบปีไม่เคยมีผู้ใดสามารถแก้กลหมากของอาตมาได้ หวังเจ้าใช้พลังฝึกปรือให้เต็มที่ ‘คัมภีร์สูญญตา’ ที่นักเดินหมากทั่วแผ่นดินหมายปอง ซุกซ่อนอยู่ตรงหน้าเจ้า
อาตมาหวังว่าหากเจ้าได้ไป จะใช้ให้เป็นประโยชน์ต่อสรรพชีวิต”
เสียงจิตแผ่วหาย
พลังอุ่นขุมหนึ่งก่อตัวขึ้นที่ตรงสุดลมหายใจ ขยายตัวแผ่กว้างขึ้นทุกทีจนแทบจะปะทุออกภายนอก จอมไม่ทราบจะรั้งหรือปลดปล่อยออกไป ได้แต่กลั้นลมหายใจนิ่งจนสุดจะทานทน
พลันเสียงจิตอริยสงฆ์ดังก้อง
“ปลดปล่อย!”
พลังหนักหน่วงเคลื่อนเข้าปะทะกันที่ฝ่ามือ จอมแยกฝ่ามือที่พนมอยู่ออกจากกัน พลังแสงสีฟ้าอ่อนก่อตัวขยายขึ้นระหว่างฝ่ามือ จอมมองเข้าไปในพลังแสง ใจกลางแสงฟ้าเป็นวงแสงเล็ก ๆ สีน้ำเงินเข้ม หมุนรอบตัวอย่างรวดเร็ว
“แก้กลหมาก!”
เสียงจิตท่านสูญญตาจารย์ดังก้องอีกครั้ง
จอมบีบอัดมวลพลังไว้ด้วยสองฝ่ามือ เคลื่อนมือขวาวาดเป็นวงรอบกระดานหมาก พลังแสงฟ้าแผ่เข้าห่อหุ้มทั้งกระดาน วงแสงน้ำเงินเข้มเคลื่อนไหวไปตามสายตาที่จอมมองหมากแต่ละตัวอย่างรวดเร็ว
ภาพกระดานไม้คร่ำคร่าที่จอมเคยใช้เดินหมากกับอาจารย์ปรากฏขึ้น เห็นกลหมากต่าง ๆ ที่อาจารย์เคยพร่ำสอน ตัวหมากกระจายตำแหน่งสลับสับเปลี่ยน กลแล้ว กลเล่า ด้วยความเร็วจนไม่อาจจับตา
ภาพความทรงจำในอดีตทะยอยฉายกลับมาหาปัจจุบัน
ภาพหนครั้งเริ่มฝึกฝนเดินหมากถึงประลองหมากฝ่าด่านเข้าสู่ทำเนียบเซียน..จนถึงหักล้างกับ ‘อสูรเหล็กไฟ’
สุดท้าย..
เป็นความว่างอันไพศาล
พลันวงแสงน้ำเงินเข้มที่แล่นพล่านหยุดสงบนิ่ง จอมวนมือขวารอบแผ่นศิลา สูดหายใจลึก เคลื่อนพลังทั้งหมดสู่เบื้องบน มวลพลังฟ้ารวบตัวหมากทั้งหมดลอยขึ้น จอมผ่อนลมหายใจสลายพลังคืนสู่ฝ่ามือ ตัวหมากลอยละลิ่วแบ่งฟากลงยืนข้างกระดาน ทุกตัวกลับคืนสู่ตำแหน่งเดิม
จอมก้มลงกราบแล้วกล่าว
“ขอพระคุณท่านอย่าได้ตำหนิ ผู้เยาว์พบว่าผู้เยาว์หาได้ต้องการคัมภีร์ ทุกถ้อยคำของพระคุณท่าน ผู้เยาว์กระจ่างแจ้งแล้ว”
พลันยินเสียงศิลาปลิแตก แผ่นกระดานศิลาแยกเป็นสองส่วน เผยให้เห็นคัมภีร์ใบลานสอดไว้ในเนื้อหิน
“ประเสริฐ ประเสริฐ” อริยสงฆ์กล่าว “ไม่ต้องการ กลับได้มา”
ท่านเอื้อมมือลูบศีรษะจอมด้วยความปราณี
“ทะเลทุกข์เวิ้งว้าง คืนฝั่งกลับพบสุข เจ้าลุถึงสูญญตาแล้วเด็กเอย”
พลังอุ่นจากฝ่ามืออริยสงฆ์แผ่ซ่านผ่านศีรษะครอบคลุมไปทั่วกาย แม้ท่านดึงมือกลับ พลังอบอุ่นขุมนั้นยังคลี่คลุมห่อหุ้มร่างกายไม่จากไป
“คัมภีร์สูญญตาสถิตอยู่กับใจเจ้าแล้ว ตัวอักษรใด ๆ ไร้ความหมายอีกต่อไป
หวังว่าเจ้าจะนำหลักธรรม ส่งต่อเพื่อนมนุษย์เพื่อสันติสุขของสรรพชีวิต”
“ขอรับ” จอมก้มลงกราบ
“เจริญพร”
ไ ม่ มี ภั ย ใ ด จ ะ ยิ่ ง ใ ห ญ่ ไ ป ก ว่ า. . .
ก า ร ดู แ ค ล น ข้ า ศึ ก
‘เต๋าเต๊กเก็ง.....เหลาจื้อ’