วัดป่า ยามเช้า...
แสงตะวันส่องผ่านละอองหมอกขาวนวล...ฟุ้งกระจายอยู่ในป่าไผ่
ยินเสียงสกุณาออกหากิน
เณรน้อยกำลังปัดกวาดลานดิน...
จีวรสีส้มสุก สว่างจ้าท่ามป่าไผ่เขียวครื้ม
จอมพักที่กุฏิ หลังหนึ่ง
กุฏิแต่ละหลังแยกห่างจากกันโดยระยะทางและสุมทุมพุ่มไม้ มองไม่เห็นกัน
จอมปฏิบัติตัวเหมือนนักบวชผู้หนึ่ง ตื่นพร้อมพระสงฆ์ ปัดกวาด ทำความสะอาดบริเวณวัด ร่วมสวดมนต์ทำวัตรเช้า-เย็น
ท่านสุญญตาจารย์มิได้กล่าวอันใด เพียงนำจอมไปยังสถานที่หนึ่ง เรียกว่า ‘หอพระธรรม’ เป็นที่เก็บตู้พระธรรม ภายในบรรจุคัมภีร์ใบลานจำนวนมาก
ท่านบอกให้จอมอ่านคัมภีร์ในหอพระธรรม เมื่อว่างจากกิจประจำวัน
การใช้ชีวิตที่นี่ ไม่ได้แตกต่างจากที่จอมอยู่กับอาจารย์มากนัก
อาจารย์เป็นผู้ปลีกวิเวก หลีกเร้น บริโภคผักผลไม้ งดเว้นเนื้อสัตว์
ที่แตกต่างก็เพียงที่นี่มีพระคัมภีร์ให้อ่านมากมาย จอมได้รู้เรื่องที่ไม่เคยรู้...
มีข้อสงสัยอันใด ท่านสูญญตาจารย์ จะให้จอมพบตอนเย็นของทุกวันเพื่อไถ่ถาม หากไม่มีคำถาม ท่านก็มิได้เอ่ยสิ่งใด มีบ้างบางครั้งที่ท่านเอ่ยถาม
“ตอนก้าวขึ้นกุฏิ เจ้าใช้เท้าข้างใดเหยียบบันไดก่อน?”
จอมอับจนเพราะ ไม่ได้คิดถึงเรื่องเช่นนี้มาก่อน ท่านยิ้ม ไม่ว่ากล่าวอันใด
หลายวันต่อมา เมื่อท่านถามคำถามเดิม จอมตอบในทันที ท่านยิ้มเหมือนเดิม
เวลาหนึ่งเดือนผ่านไป
จอมอยู่กับคัมภีร์พระธรรม อันเป็นภูมิปัญญาสืบเนื่องยาวนาน ได้รับรู้เรื่องราวต่าง ๆ ในโลก ผ่านตัวอักษร ล้ำค่า ได้ระลึกรู้ว่า....โลกช่างกว้างใหญ่ไพศาลไม่รู้จบ กิเลส มายา ของมวลมนุษย์มากมายยิ่งกว่าเม็ดทรายบนหาด
เย็นวันหนึ่ง
ท่านสุญญตาจารย์บอกจอมหยุดอ่านพระคัมภีร์แล้วให้นั่งนิ่งอยู่กับตัวเอง
จอมจึงได้รู้ว่า..ภายในใจคนหนึ่งคนก็กว้างใหญ่ไพศาลดุจมหาสมุทร
เป็นมหาสมุทรคลุ้มคลั่งปั่นป่วน ยากทำให้สงบ
หลายสัปดาห์ผ่าน ใจจอมจึงค่อยสงบนิ่งอยู่กับลมหายใจเข้าออก
สรรพสิ่งรอบกาย ทักทายเหมือนสหายคุ้นเคย
จอมคิดถึง ราศีมีน..
เขาเคยรู้สึกเช่นนี้ ตอนที่เขียนภาพกับราศีมีน เพียงแต่ไม่รู้ว่าคืออะไร
ตอนนี้เขาเข้าใจความหมายที่ราศีมีนกล่าวถ่องแท้แล้ว...
"การก้าวพ้นขีดจำกัดของแต่ละคน เกิดจากประสบการณ์ชีวิต
พานพบเรื่องราวหลากหลาย..หาใช่การฝึกฝนชั่วครู่ยาม"
ราศีมีน