๑๑.สูญญตาจารย์

อัสดงคตเลื่อมแสงรำไร
จั๊กจั่นเริ่มระงมเสียงเซ็งแซ่

เบื้องหน้าของจอมเป็นเพียงทางดินเล็ก ๆ ลดเลี้ยวหายไปในแนวไม้เหมือนทางเดินเข้าป่า หาได้มีสัญลักษณ์ใดบ่งบอกให้รู้ว่าตำบลแห่งนี้คืออารามสงฆ์

จอมเพียงย่างเท้าผ่านแนวไม้  อวลไอฉ่ำเย็นชนิดหนึ่งก็ซึมแทรกเข้าสัมผัสใจ
สองข้างทางครื้มด้วยเงาไม้สูงใหญ่  สักพักเสียงพระสวดมนตร์ทำวัตรเย็นก็แว่วมาในเสียงจั๊กจั่นเรไร

จอมก้าวตามเสียงจนถึงลานดินกว้าง มีพระสงฆ์ อุบาสก อุบาสิกา นั่งรายล้อมต้นโพธิใหญ่

จอมขยับเข้าไปนั่งพนมมือสดับเสียงพุทธมนตร์

ครั้นเสียงสวดเงียบลง  จอมคลานเข้าไปบอกอุบาสกผู้หนึ่งว่ามาขอพบท่านสูญญตาจารย์  ชายผู้นั้นจึงนำไปหาท่าน

สูญญตาจารย์เป็นพระสงฆ์ชราที่ผู้คนเคารพนับถือในวัตรปฏิบัติ  ท่านเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางในวงการเซียนด้วยชมชอบเดินหมากมากกว่าท่องบ่นพระคัมภีร์
คัมภีร์สูญญตาที่ท่านรจนา  ผู้คนกลับคิดว่าท่านซุกซ่อนกลหมากรุกไว้ในปริศนาธรรม

เหล่านักเดินหมากจึงมุ่งหน้ามายังสูญญตาราม  แต่จนบัดนี้หามีผู้ใดสามารถเปิดอ่าน เพราะท่านปิดผนึกไว้ด้วยกลหมากรุกลึกล้ำ หามีผู้ใดสามารถแก้ได้จนทุกวัน  ยิ่งก่อความอยากรู้อยากเห็นให้แก่บรรดาเซียนหมาก 

สูญญตารามจึงเป็นสถานที่ซึ่งนักเดินหมากเดินทางมาปฏิบัติธรรมฝึกสมาธิจิตภาวนา และมุ่งมาหมายแก้หมากของสูญญตาจารย์หวังครอบครอง ‘คัมภีร์สูญญตา’

จอมกราบคารวะท่านแล้วยื่นห่อผ้าให้  ในห่อผ้าเป็นตัวม้าหมากรุกไม้ที่เทพยุทธ์นิรนามฝากมา

ท่านหยิบม้าพินิจแล้วยิ้มอ่อนโยนคลายส่วนฐานของตัวหมากมวนกระดาษเล็ก ๆ ร่วงหล่นออกมาเป็นจดหมายของเทพยุทธ์นิรนาม  ท่านอ่านสักครู่จึงเอ่ยถามว่า

“เจ้าก็คือเมฆาล่องลอยที่ผู้คนร่ำลือสินะ”

“เอ่อ...ขอรับ” จอมตอบรับแม้ในใจจะรู้สึกเป็นนามที่ไม่คุ้น

ท่านมวนกระดาษเก็บคืนเข้าตัวหมากเอ่ยถามว่า

“เทพยุทธ์นิรนามเขาสบายดี?”

“สบายดีขอรับ”

“อืมม์..ได้รู้ข่าวคราวอาตมาก็หายห่วง  ตามอาตมาไปที่กุฏิ 
เดินทางมาไกลไปพักผ่อนก่อน”

“ขอรับ”

อริยสงฆ์เดินนำจอมฝ่าความมืดเลือนรางของค่ำคืนเดือนแรม


จ  ง  ใ  ช้  ส  า  มั  ญ  สำ  นึ  ก  .  .อ  ย่  า  ใ  ช้  ห  ลั  ก  ก  า  ร
                                                                   เทพประจิม