อัสดงคตเลื่อมแสงรำไร
จั๊กจั่นเริ่มระงมเสียงเซ็งแซ่
เบื้องหน้าของจอมเป็นเพียงทางดินเล็ก ๆ ลดเลี้ยวหายไปในแนวไม้เหมือนทางเดินเข้าป่า หาได้มีสัญลักษณ์ใดบ่งบอกให้รู้ว่าตำบลแห่งนี้คืออารามสงฆ์
จอมเพียงย่างเท้าผ่านแนวไม้ อวลไอฉ่ำเย็นชนิดหนึ่งก็ซึมแทรกเข้าสัมผัสใจ
สองข้างทางครื้มด้วยเงาไม้สูงใหญ่ สักพักเสียงพระสวดมนตร์ทำวัตรเย็นก็แว่วมาในเสียงจั๊กจั่นเรไร
จอมก้าวตามเสียงจนถึงลานดินกว้าง มีพระสงฆ์ อุบาสก อุบาสิกา นั่งรายล้อมต้นโพธิใหญ่
จอมขยับเข้าไปนั่งพนมมือสดับเสียงพุทธมนตร์
ครั้นเสียงสวดเงียบลง จอมคลานเข้าไปบอกอุบาสกผู้หนึ่งว่ามาขอพบท่านสูญญตาจารย์ ชายผู้นั้นจึงนำไปหาท่าน
สูญญตาจารย์เป็นพระสงฆ์ชราที่ผู้คนเคารพนับถือในวัตรปฏิบัติ ท่านเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางในวงการเซียนด้วยชมชอบเดินหมากมากกว่าท่องบ่นพระคัมภีร์
คัมภีร์สูญญตาที่ท่านรจนา ผู้คนกลับคิดว่าท่านซุกซ่อนกลหมากรุกไว้ในปริศนาธรรม
เหล่านักเดินหมากจึงมุ่งหน้ามายังสูญญตาราม แต่จนบัดนี้หามีผู้ใดสามารถเปิดอ่าน เพราะท่านปิดผนึกไว้ด้วยกลหมากรุกลึกล้ำ หามีผู้ใดสามารถแก้ได้จนทุกวัน ยิ่งก่อความอยากรู้อยากเห็นให้แก่บรรดาเซียนหมาก
สูญญตารามจึงเป็นสถานที่ซึ่งนักเดินหมากเดินทางมาปฏิบัติธรรมฝึกสมาธิจิตภาวนา และมุ่งมาหมายแก้หมากของสูญญตาจารย์หวังครอบครอง ‘คัมภีร์สูญญตา’
จอมกราบคารวะท่านแล้วยื่นห่อผ้าให้ ในห่อผ้าเป็นตัวม้าหมากรุกไม้ที่เทพยุทธ์นิรนามฝากมา
ท่านหยิบม้าพินิจแล้วยิ้มอ่อนโยนคลายส่วนฐานของตัวหมากมวนกระดาษเล็ก ๆ ร่วงหล่นออกมาเป็นจดหมายของเทพยุทธ์นิรนาม ท่านอ่านสักครู่จึงเอ่ยถามว่า
“เจ้าก็คือเมฆาล่องลอยที่ผู้คนร่ำลือสินะ”
“เอ่อ...ขอรับ” จอมตอบรับแม้ในใจจะรู้สึกเป็นนามที่ไม่คุ้น
ท่านมวนกระดาษเก็บคืนเข้าตัวหมากเอ่ยถามว่า
“เทพยุทธ์นิรนามเขาสบายดี?”
“สบายดีขอรับ”
“อืมม์..ได้รู้ข่าวคราวอาตมาก็หายห่วง ตามอาตมาไปที่กุฏิ
เดินทางมาไกลไปพักผ่อนก่อน”
“ขอรับ”
อริยสงฆ์เดินนำจอมฝ่าความมืดเลือนรางของค่ำคืนเดือนแรม
จ ง ใ ช้ ส า มั ญ สำ นึ ก . .อ ย่ า ใ ช้ ห ลั ก ก า ร
เทพประจิม