๑๕.ทิพยคีตา

จอมกราบลาท่านสูญญตาจารย์  ท่านฝากให้จอมนำหมากม้าตัวเดิมคืนแก่เทพยุทธ์นิรนาม

จอมรีบรุดเดินทางด้วยคิดถึงเทพยุทธ์นิรนามและเมย์เป็นกำลัง  เขาใช้เส้นทางเดิม  ผ่านหมู่บ้านที่ครั้งขามาเคยแวะเดินหมาก  ยามนี้มิมีใครไม่รู้จักเมฆาล่องลอย  ผู้คนพากันทักทาย  บ้างเชื้อเชิญให้พักที่เรือน  บ้างนำห่อเสบียงกรังมาให้  จอมไหว้ขอบคุณเซียนหมากเหล่านั้นแล้วล่ำลาออกเดินทาง

ผ่านป่าริมธารที่เคยฝึกเขียนรูปกับราศีมีน  จอมเร่งฝีเท้าก้าวไปบนโขดหินหมายใจจะเล่าประสบการณ์ที่ได้พบให้สหายได้รับรู้  แต่กระท่อมริมธารว่างเปล่า เขาใจหาย  ไม่รู้เมื่อไรจะได้ปะสหายร่วมวัยหนึ่งเดียวของเขาอีก

จอมเดินทางต่ออย่างเร่งรีบ  อยากให้ถึงกระท่อมของเทพยุทธ์นิรนามเร็วไว  อยากเล่าเรื่องราวให้มิตรทั้งสองฟัง

ระหว่างทางมีชายผู้หนี่งร้องเรียก

“ท่านเมฆาล่องลอย!”

จอมหันหาต้นเสียง  ชายโพกผ้ากันแดดเดินจ้ำมาทางจอม  คนผู้นี้รูปร่างสูงใหญ่ใบหน้าแดงเรื่อ จอมร้องทัก

“ท่านอสูรเหล็กไฟ! ท่านสบายดี?”

“สวัสดีท่าน ข้าพเจ้าสบายดี ท่านเจ้าสำนักเชิญท่านแวะพักผ่อนที่สำนักเมื่อเสร็จกิจจากสูญญตาราม โชคดีเจอท่านระหว่างทาง”

“แต่ข้าพเจ้าจะกลับไปกระท่อมท่านเทพยุทธ์นิรนาม”

“ท่านเจ้าสำนักย้ำเชิญท่านไปให้ได้ นายน้อยดอกบัวด้วย”

จอมชะงักเมื่อยินนามดอกบัว..เสียงใสดุจกังสดาลเงินดังแว่วในความทรงจำ

“ท่านพี่...ไปเยี่ยมข้าพเจ้าที่สำนักบ้างนะ” ดอกบัววักน้ำในสระใส่บัวหลวงกลีบขาวละมุน  ภมรน้อยบินวนอยู่ไปมา

“ขอ...เอ่อ..ครับ ข้าพเจ้า..ข้าพเจ้าจะไป หวังวันนั้นท่านยังสามารถจดจำข้าพเจ้า”

“มีหรือข้าพเจ้าจะลืม” เธอหันมายิ้ม

เสียงสดใสยังกังวานแว่วอยู่ในความทรงจำ  จอมระลึกถึงเสียงนั้นอยู่ทุกย่ำยาม  เขาตัดสินใจติดตามอสูรเหล็กไฟไปสำนัคอัคคี

เหนือเซียนมังกรไฟเจ้าสำนักอัคคีจัดให้จอมพักเรือนรับรองด้านหลังอาคารใหญ่ของสำนัก  เจ้าสำนักอัคคีถามไถ่ถึงการฝึกปรือ  เมื่อได้รู้ว่าจอมเปิดผนึกกลหมากสูญญตาสำเร็จ  เจ้าสำนักอัคคีแสดงความชื่นชมยินดี กล่าวว่า

“เป็นเช่นนี้เอง..ท่านสูญญตา ท่านนะท่าน ข้าพเจ้าครุ่นคิดสมองแทบแตกกระจาย กลับเปิดได้ง่ายแค่นี้เอง”

เจ้าสำนักอัคคีชักชวนให้จอมพักที่สำนักกว่าถึงวันประลองหมาก  แต่จอมยังอยากกลับไปหาเทพยุทธ์นิรนาม  เจ้าสำนักอัคคีโน้มน้าวใจอย่างไรไม่สามารถเปลี่ยนใจจอมที่สุดกล่าวว่า

“ตามแต่เจ้าเถิด  เจ้าพักผ่อนที่นี่ตามสบายสักวันสองวันแล้วค่อยไปกระท่อมเทพยุทธ์นิรนาม  ขาดเหลืออะไรไห้บอกดอกบัว นางจะจัดหาให้เจ้าเอง”

“ขอบคุณขอรับ” จอมไหว้ขอบคุณ  

จอมพักที่สำนักอัคคีอย่างสุขสบาย..สบายอย่างไม่เคยสัมผัสมาก่อน  มีคนรับใช้คอยดูแลทุกเรื่องราว  แทบไม่ต้องทำอะไร แม้กิจประจำวัน การปัดกวาด ทำความสะอาดที่พักอาศัย  การล้างถ้วยชามภาชนะซึ่งอาจารย์เคยสอนให้จอมเอาใจใส่  ปฏิบัติเสมือนเป็นพิธีกรรมอันศักดิ์สิทธิ์

แต่ที่นี่กลับมีคนกระทำให้
จอมเริ่มสงสัยคำสอนสั่งของอาจารย์ 

วันต่อมาขณะจอมไม่รู้จะทำอะไรดี  แว่วยินเสียงดนตรี จึงเดินตามเสียงออกไป  เห็นดอกบัวนั่งสีสะล้ออยู่ในศาลาสวนพฤกษชาติ  จอมเดินเข้าไปนั่งฟัง 
ดอกบัวส่งยิ้ม มือยังคงชายช้อยอ้อยสร้อยอยู่กับคันสะล้อ นางพริ้มตาลง..

เสียงสะล้อ หวานแว่ว..
ขานขับท่วงทำนองเพียงแผ่ว
แล้วค่อย ๆ กระชั้น..ถี่..กังวานก้อง
เสียงแหลมกรีดร้อง เหมือนหัวใจร่ำให้
แล้วค่อย..สะอึก..สะอึ้นอั้น..
คันสะล้อ..สะท้าน..สั่นไหว...

ทิ้งท่วงทำนอง..หวาน..จับหัวใจ
ดั่งรอยยิ้มสะอึกไห้ทั้งน้ำตา

ดอกบัวลืมดวงตาใสขึ้นมองจอม
เขาปรบมือชื่นชมเสียงดนตรีของนาง

“ไพเราะมากขอรับ..ดอกบัวเก่งจริง”

“ขอบคุณท่านพี่..ข้าพเจ้าฝึกฝนแทบทุกวัน ทำได้เพียงเท่านี้เอง...ท่านพี่ลองบ้างมั้ย?”

“ข้าพเจ้าบรรเลงดนตรีไม่เป็นดอกขอรับ”

“ไม่เป็นไร...ลองขลุ่ยนี่ดูสิ”

ดอกบัวหยิบขลุ่ยเพียงออส่งให้จอม  แนะให้จอมวางนิ้ว

“ดนตรีก็คือเสียงที่มีอยู่ในธรรมชาติ   ลองผสานจิตกับขลุ่ย ให้เหมือนขลุ่ยเป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย  ปล่อยผ่านสายลมผ่านลำขลุ่ยเหมือนผ่อนลมหายใจ
แล้วกระแสเสียงจะกำเนิดขึ้นด้วยตัวของมันเอง”

จอมทดลองขยับนิ้ว เกร็งพลัง ปล่อยลมผ่านช่องน้อยของขลุ่ยไม้ไผ่ ก่อเกิดเสียงสะท้อนก้อง 

..เสียงขลุ่ยอ้อยสร้อย..อ่อนไหว
ดังดวงใจไร้เดียงสา..เริงร่า
อ่อ...อ้อ...อ่อ...เอ่ย คำพรรณา
อ้อ...อ่อ...อ้อ..ตามประสา..เพลินใจ

จอมขยับนิ้วขึ้นลงสอดสัมพันธ์กับลมหายใจโดยไร้เดียงสา..ประสานดวงตาสวยใสดรุณีน้อยตรงหน้า  เสียงขลุ่ยของจอมพลิ้วไหวกังวาน

ดอกบัวหยิบสะล้อขึ้นประทับ ขยับคันชักส่งเสียงอี๊อ่อหยอกล้อเสียงขลุ่ย   ประสานท่วงทำนองบ้างขัดขวาง..บ้างคลอตาม..บางครั้งดักรอข้างหน้า  บางคราต้อยตามอยู่ข้างหลัง

สองเสียงเคียงคลอหยอกล้อกัน  ดั่งผีเสื้อน้อย..เกาะคู่เคล้า..หยอกเย้าเล่นลม

หัวใจจอมล่องลอยไปแสนไกล

จอมดื่มด่ำรสทิพย์ดนตรีโดยไม่ประสีประสากับความรู้วิชาการดนตรีใด  เขาเพียงปล่อยใจไปกับสรรพเสียงที่พลิ้วผ่านช่องน้อย ๆ ของขลุ่ยเพียงออ  จิตใจจอมกระโดดโลดเต้นขึ้นลงบัดเดี๋ยวสูง ประเดี๋ยวต่ำ  บางครั้งก้าวยาว  บางครากระโดดยึกยักอย่างสนุกสนาน

ดอกบัวใช้ทักษะสะล้อ ที่นางฝึกปรือ  ช่วยประคองเสริมส่งจังหวะเสียงขลุ่ยให้มีมิติชวนติดตาม คอยรองรับต่อล้อท่อนทำนองเมื่อจอมสะดุด

สองแนวเสียงจากต่างที่มากลับผสานเป็นหนึ่งเดียว  ก่อเกิดบทเพลงรักหวานที่เปี่ยมชีวิตชีวา..กรุ่นหอมเกสรดอกไม้มารวยริน
เสียงดนตรีของทั้งคู่ลอยล่องไปทั่วสวนพฤกษชาติ

ด  น  ต  รี   คื  อ  เ  สี  ย  ง  ที่  มี  อ  ยู่  ใ  น  ธ  ร  ร  ม  ช  า  ติ

                                                                       ดอกบัว