จอมกราบลาท่านสูญญตาจารย์ ท่านฝากให้จอมนำหมากม้าตัวเดิมคืนแก่เทพยุทธ์นิรนาม
จอมรีบรุดเดินทางด้วยคิดถึงเทพยุทธ์นิรนามและเมย์เป็นกำลัง เขาใช้เส้นทางเดิม ผ่านหมู่บ้านที่ครั้งขามาเคยแวะเดินหมาก ยามนี้มิมีใครไม่รู้จักเมฆาล่องลอย ผู้คนพากันทักทาย บ้างเชื้อเชิญให้พักที่เรือน บ้างนำห่อเสบียงกรังมาให้ จอมไหว้ขอบคุณเซียนหมากเหล่านั้นแล้วล่ำลาออกเดินทาง
ผ่านป่าริมธารที่เคยฝึกเขียนรูปกับราศีมีน จอมเร่งฝีเท้าก้าวไปบนโขดหินหมายใจจะเล่าประสบการณ์ที่ได้พบให้สหายได้รับรู้ แต่กระท่อมริมธารว่างเปล่า เขาใจหาย ไม่รู้เมื่อไรจะได้ปะสหายร่วมวัยหนึ่งเดียวของเขาอีก
จอมเดินทางต่ออย่างเร่งรีบ อยากให้ถึงกระท่อมของเทพยุทธ์นิรนามเร็วไว อยากเล่าเรื่องราวให้มิตรทั้งสองฟัง
ระหว่างทางมีชายผู้หนี่งร้องเรียก
“ท่านเมฆาล่องลอย!”
จอมหันหาต้นเสียง ชายโพกผ้ากันแดดเดินจ้ำมาทางจอม คนผู้นี้รูปร่างสูงใหญ่ใบหน้าแดงเรื่อ จอมร้องทัก
“ท่านอสูรเหล็กไฟ! ท่านสบายดี?”
“สวัสดีท่าน ข้าพเจ้าสบายดี ท่านเจ้าสำนักเชิญท่านแวะพักผ่อนที่สำนักเมื่อเสร็จกิจจากสูญญตาราม โชคดีเจอท่านระหว่างทาง”
“แต่ข้าพเจ้าจะกลับไปกระท่อมท่านเทพยุทธ์นิรนาม”
“ท่านเจ้าสำนักย้ำเชิญท่านไปให้ได้ นายน้อยดอกบัวด้วย”
จอมชะงักเมื่อยินนามดอกบัว..เสียงใสดุจกังสดาลเงินดังแว่วในความทรงจำ
“ท่านพี่...ไปเยี่ยมข้าพเจ้าที่สำนักบ้างนะ” ดอกบัววักน้ำในสระใส่บัวหลวงกลีบขาวละมุน ภมรน้อยบินวนอยู่ไปมา
“ขอ...เอ่อ..ครับ ข้าพเจ้า..ข้าพเจ้าจะไป หวังวันนั้นท่านยังสามารถจดจำข้าพเจ้า”
“มีหรือข้าพเจ้าจะลืม” เธอหันมายิ้ม
เสียงสดใสยังกังวานแว่วอยู่ในความทรงจำ จอมระลึกถึงเสียงนั้นอยู่ทุกย่ำยาม เขาตัดสินใจติดตามอสูรเหล็กไฟไปสำนัคอัคคี
เหนือเซียนมังกรไฟเจ้าสำนักอัคคีจัดให้จอมพักเรือนรับรองด้านหลังอาคารใหญ่ของสำนัก เจ้าสำนักอัคคีถามไถ่ถึงการฝึกปรือ เมื่อได้รู้ว่าจอมเปิดผนึกกลหมากสูญญตาสำเร็จ เจ้าสำนักอัคคีแสดงความชื่นชมยินดี กล่าวว่า
“เป็นเช่นนี้เอง..ท่านสูญญตา ท่านนะท่าน ข้าพเจ้าครุ่นคิดสมองแทบแตกกระจาย กลับเปิดได้ง่ายแค่นี้เอง”
เจ้าสำนักอัคคีชักชวนให้จอมพักที่สำนักกว่าถึงวันประลองหมาก แต่จอมยังอยากกลับไปหาเทพยุทธ์นิรนาม เจ้าสำนักอัคคีโน้มน้าวใจอย่างไรไม่สามารถเปลี่ยนใจจอมที่สุดกล่าวว่า
“ตามแต่เจ้าเถิด เจ้าพักผ่อนที่นี่ตามสบายสักวันสองวันแล้วค่อยไปกระท่อมเทพยุทธ์นิรนาม ขาดเหลืออะไรไห้บอกดอกบัว นางจะจัดหาให้เจ้าเอง”
“ขอบคุณขอรับ” จอมไหว้ขอบคุณ
จอมพักที่สำนักอัคคีอย่างสุขสบาย..สบายอย่างไม่เคยสัมผัสมาก่อน มีคนรับใช้คอยดูแลทุกเรื่องราว แทบไม่ต้องทำอะไร แม้กิจประจำวัน การปัดกวาด ทำความสะอาดที่พักอาศัย การล้างถ้วยชามภาชนะซึ่งอาจารย์เคยสอนให้จอมเอาใจใส่ ปฏิบัติเสมือนเป็นพิธีกรรมอันศักดิ์สิทธิ์
แต่ที่นี่กลับมีคนกระทำให้
จอมเริ่มสงสัยคำสอนสั่งของอาจารย์
วันต่อมาขณะจอมไม่รู้จะทำอะไรดี แว่วยินเสียงดนตรี จึงเดินตามเสียงออกไป เห็นดอกบัวนั่งสีสะล้ออยู่ในศาลาสวนพฤกษชาติ จอมเดินเข้าไปนั่งฟัง
ดอกบัวส่งยิ้ม มือยังคงชายช้อยอ้อยสร้อยอยู่กับคันสะล้อ นางพริ้มตาลง..
เสียงสะล้อ หวานแว่ว..
ขานขับท่วงทำนองเพียงแผ่ว
แล้วค่อย ๆ กระชั้น..ถี่..กังวานก้อง
เสียงแหลมกรีดร้อง เหมือนหัวใจร่ำให้
แล้วค่อย..สะอึก..สะอึ้นอั้น..
คันสะล้อ..สะท้าน..สั่นไหว...ทิ้งท่วงทำนอง..หวาน..จับหัวใจ
ดั่งรอยยิ้มสะอึกไห้ทั้งน้ำตา
ดอกบัวลืมดวงตาใสขึ้นมองจอม
เขาปรบมือชื่นชมเสียงดนตรีของนาง
“ไพเราะมากขอรับ..ดอกบัวเก่งจริง”
“ขอบคุณท่านพี่..ข้าพเจ้าฝึกฝนแทบทุกวัน ทำได้เพียงเท่านี้เอง...ท่านพี่ลองบ้างมั้ย?”
“ข้าพเจ้าบรรเลงดนตรีไม่เป็นดอกขอรับ”
“ไม่เป็นไร...ลองขลุ่ยนี่ดูสิ”
ดอกบัวหยิบขลุ่ยเพียงออส่งให้จอม แนะให้จอมวางนิ้ว
“ดนตรีก็คือเสียงที่มีอยู่ในธรรมชาติ ลองผสานจิตกับขลุ่ย ให้เหมือนขลุ่ยเป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย ปล่อยผ่านสายลมผ่านลำขลุ่ยเหมือนผ่อนลมหายใจ
แล้วกระแสเสียงจะกำเนิดขึ้นด้วยตัวของมันเอง”
จอมทดลองขยับนิ้ว เกร็งพลัง ปล่อยลมผ่านช่องน้อยของขลุ่ยไม้ไผ่ ก่อเกิดเสียงสะท้อนก้อง
..เสียงขลุ่ยอ้อยสร้อย..อ่อนไหว
ดังดวงใจไร้เดียงสา..เริงร่า
อ่อ...อ้อ...อ่อ...เอ่ย คำพรรณา
อ้อ...อ่อ...อ้อ..ตามประสา..เพลินใจ
จอมขยับนิ้วขึ้นลงสอดสัมพันธ์กับลมหายใจโดยไร้เดียงสา..ประสานดวงตาสวยใสดรุณีน้อยตรงหน้า เสียงขลุ่ยของจอมพลิ้วไหวกังวาน
ดอกบัวหยิบสะล้อขึ้นประทับ ขยับคันชักส่งเสียงอี๊อ่อหยอกล้อเสียงขลุ่ย ประสานท่วงทำนองบ้างขัดขวาง..บ้างคลอตาม..บางครั้งดักรอข้างหน้า บางคราต้อยตามอยู่ข้างหลัง
สองเสียงเคียงคลอหยอกล้อกัน ดั่งผีเสื้อน้อย..เกาะคู่เคล้า..หยอกเย้าเล่นลม
หัวใจจอมล่องลอยไปแสนไกล
จอมดื่มด่ำรสทิพย์ดนตรีโดยไม่ประสีประสากับความรู้วิชาการดนตรีใด เขาเพียงปล่อยใจไปกับสรรพเสียงที่พลิ้วผ่านช่องน้อย ๆ ของขลุ่ยเพียงออ จิตใจจอมกระโดดโลดเต้นขึ้นลงบัดเดี๋ยวสูง ประเดี๋ยวต่ำ บางครั้งก้าวยาว บางครากระโดดยึกยักอย่างสนุกสนาน
ดอกบัวใช้ทักษะสะล้อ ที่นางฝึกปรือ ช่วยประคองเสริมส่งจังหวะเสียงขลุ่ยให้มีมิติชวนติดตาม คอยรองรับต่อล้อท่อนทำนองเมื่อจอมสะดุด
สองแนวเสียงจากต่างที่มากลับผสานเป็นหนึ่งเดียว ก่อเกิดบทเพลงรักหวานที่เปี่ยมชีวิตชีวา..กรุ่นหอมเกสรดอกไม้มารวยริน
เสียงดนตรีของทั้งคู่ลอยล่องไปทั่วสวนพฤกษชาติ
ด น ต รี คื อ เ สี ย ง ที่ มี อ ยู่ ใ น ธ ร ร ม ช า ติ
ดอกบัว