เช้าวันต่อมา
เทพยุทธ์นิรนามกับจอมเข้าสู่ทำเนียบเซียนอีกครั้ง วันนี้ต่างกับวันวาน ครั้งนี้จอมมีผู้คนทักทายแสดงความยินดี จอมกลายเป็นที่กล่าวถึงของทุกคน การผ่าน ๑๐ ด่านอย่างรวดเร็วเช่นนี้ ในอดีตมีเพียง ‘ยอดเซียน’ บางท่านเท่านั้นที่ทำได้ ทำให้การเข้าสู่ทำเนียบเซียนของจอมเป็นหัวข้อถกเถียง ว่าจะไปได้ถึงระดับไหน บางท่านกล่าวว่าอาจถึงกับได้ ‘ยอดเซียน’ คนใหม่ หลายท่านกลับเห็นว่าจอมยังเด็กเกินไปอาจไปได้ไม่ถึงระดับเทพเสียซ้ำ
ในวงการหมากรุกระบุลำดับขั้นจากการผ่านด่านทดสอบ
ระดับ ๑ – ๑๐ คือ ผู้ที่กำลังประลองไต่อันดับ หากพ่ายต้องเริ่มด่านที่หนึ่งใหม่ แต่อันดับที่ได้มายังคงอยู่เพื่อใช้ระบุระดับฝีมือ
ระดับอสูรคือ ผู้ผ่านครบ ๑๐ ด่าน อยู่ระหว่างการประลองกับเซียนหมากระดับอสูรให้ครบ ๓ ด่าน หากพ่ายต้องเริ่มประลองด่านอสูรขั้นหนึ่งใหม่
ระดับเทพคือ ผู้ที่ผ่านเซียนระดับอสูร ๓ ท่านติดต่อกัน ได้รับการบันทึกชื่อในทำเนียบเซียน ได้สิทธิในการชิง ‘จตุรเทพ’ และ ตำแหน่งยอดเซียน’ ที่นักเดินหมากทุกคนใฝ่ฝัน แต่ในจำนวนหมื่นของผู้เข้าทดสอบแต่ละปีมีน้อยกว่าน้อยที่ผ่านเข้าประลองระดับอสูร และยิ่งน้อยกว่าน้อยจะไปถึงระดับเทพ
เป็นที่รู้กันเรื่องระดับหมากของแต่ละคน เพื่อใช้ต่อให้ในการเดินหมากกับผู้มีระดับด้อยกว่า บางครั้งจะตะแคงเรือ คือลดศักดิ์เรือให้เป็นอย่างเม็ดเดินอย่างเม็ด เม็ดนั้นหากเปรียบเป็นทหารในกองทัพก็คือนายหมู่ขณะที่เรือเป็นเช่นพระยา
นั่นหมายถึงการเดินหมากทั่วไป
มิใช่การประลองเข้าสู่ทำเนียบเซียนที่ทุกคนต้องสู้อย่างสุดฝีมือ
เจ้าหน้าที่ทำเนียบเซียนเดินนำเทพยุทธ์นิรนามกับจอมมายังระเบียง ผู้คนสนใจพากันมุงดูเพื่อศึกษาการเดินหมากของเด็กน้อยซึ่งกำลัง พิสูจน์ตัวเองกับเซียนหมากระดับที่ทุกคนครั่นคร้าม
จอมนั่งลงเดินหมากอย่างปลอดโปร่ง..มั่นใจเต็มเปี่ยม.. อาจเป็นเพราะเริ่มคุ้นกับสถานที่และความรู้สึกใหม่ที่จอมได้รับ การได้เดินหมากทำให้คลายความคิดถึงอาจารย์ รู้สึกเหมือนได้อยู่ใกล้ ๆ อาจารย์อีกครั้ง หมากของจอมจึงลื่นไหล
ยิ่งมายิ่งคึกคักเข้มแข็ง ผ่านมือระดับอสูรทั้งสองคนอย่างง่ายดาย หลังจบลงด้วยชัยชนะจอมได้รับการปรบมือจากผู้ชมยาวนาน
เจ้าหน้าที่ถามจอมว่า “ท่านต้องการประลองต่อหรือไม่?”
จอมหันมองเทพยุทธ์นิรนาม เขาพยักหน้า “ขอรับ” จอมตอบ
เสียงผู้คนฮือกันอื้ออึง..ยินดีที่จะได้ชมหมากกระดานต่อไป
เจ้าหน้าที่ผู้ช่วยเดินกลับเข้าในอาคาร
สักพัก..
มีชายผู้หนึ่งเดินออกมาเสื้อผ้าสีแดงเพลิงสะท้อนเงาทำให้ใบหน้าพลอยแดงก่ำน่าสะพรึง เสียงผู้คนฮืออึงดังกว่าเดิม
เทพยุทธ์นิรนามอุทาน “อสูรเหล็กไฟ!”
เจ้าของฉายา ‘อสูรเหล็กไฟ’ ยกมือไหว้กล่าวทักทายเทพยุทธ์นิรนาม
“ท่านสบายดี?”
“ข้าสบายดี.....” เทพยุทธ์นิรนามรับใหว้ “ออมมือบ้างล่ะ”
“ไม่ต้องห่วงข้าจะไม่ให้ท่านต้องผิดหวัง” เขาขยับเข้าประจำที่
จอมมองคนผู้นี้ด้วยความฉงน จอมไม่เคยพบเห็นใครที่มีสีหน้าเฉยเมยเช่นนี้
เป็นใบหน้าที่คล้ายหุ้มด้วยหน้ากากยางแผ่นหนึ่ง
พลันดวงตาคนทั้งคู่ประสานกัน จอมต้องสะดุ้งใจ ในแววตาคู่นั้นมีแต่ความว่างเปล่าหามีเงาสะท้อนของประกายชีวิตแม้แต่น้อย
ทั้งสองไหว้ทักทายกันและกัน
เจ้าหน้าที่อ่านกติกา ทั้งสองรับทราบ แล้วการฝ่าด่านสุดท้ายที่ทุกคนรอคอยก็เริ่มขึ้น
จอมเปิดหมากด้วย ‘พระรามเรียบค่าย’ เป็นกลหมากที่เตรียมพร้อมรับทุกสถานการณ์ อสูรเหล็กไฟเปิดด้วย ‘อาชาออกศึก’ ใช้ม้าบุกขี้นทันที บอกความมั่นใจไม่เกรงกลัวฝ่ายตรงข้าม
จอมค่อย ๆ เคลื่อนกำลังขึ้นทางขวา สร้างแนวป้องกัน ขณะที่ฝ่านตรงข้ามทะลวงเข้ามาอย่างรวดเร็ว ใช้เรือขึ้นมาเสริมแล้วบุกเข้าทางซ้ายของกระดาน
อสูรเหล็กไฟต้องการเผด็จศึกไม่อยากให้ยืดเยื้อ เขากล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“เจ้าจะได้รู้ว่าหมากระดับอสูรที่แท้จริงร้ายกาจเพียงไร”
จอมได้แต่ฝืนยิ้ม..วางหมากทุกตัวในตำแหน่งโดยระมัดระวัง*ผูกทุกตัวไว้ ๒-๓ ชั้นอย่างหนาแน่น
อสูรเหล็กไฟยังบุกต่อเนื่อง เบี้ยตัวแล้วตัวเล่าถูกแลกเพื่อเปิดทางหวังทะลวง
เข้ากลางแนวป้องกันของจอม
วันหนึ่งระหว่างกำลังเดินหมากกับอาจารย์
หมากของจอมจวนเข้าตาจน
อาจารย์เล่าให้จอมฟังถึงสำนักใหญ่แห่งหนึ่ง
“....หากเจ้าเจอผู้ใดที่เดินหมากรวดเร็วบุกทะลวงอย่างดุดัน นั่นเป็นวิชาของสำนักอัคคี”
จอมนิ่งฟัง..อาจารย์กล่าวต่อว่า
“ผู้ฝึกถึงระดับแปดจะสามารถแผ่พลังไอร้อนออกครอบคลุมคู่ประลอง
ทำให้ไม่สามารถรักษาสมาธิไว้ได้อยากเร่งหมากกระดานนั้นสิ้นสุดโดยเร็ว “
“พบเจอความร้อนเช่นนั้นเราควรใช้ความเย็นเข้าหักล้างใช่ไหมขอรับ?”
“การแก้ไขสถานการณ์โดยวิธีหักล้างมีแต่พินาศไปด้วยกัน”
“ข้าควรทำเช่นไรอาจารย์?”
“ลองคิดว่าเจ้าคือน้ำ..น้ำที่ทั้งอ่อนโยนทั้งรุนแรง”
หมากของจอมเริ่มไหลม้วนตลบเป็นแนวคลื่น พร้อมจะกลืนกินตัวหมากของฝ่านตรงข้ามที่บุกเข้ามา
คลื่นน้ำม้วนตัวไปมา...ไม่ถอย..ไม่บุก
อสูรเหล็กไฟเห็นจอมโอ้เอ้เหมือนลังเลจึงเร่งโถมกำลังหมายทะลวงให้ถึงขุนของจอม
เมื่อฝ่ายตรงข้ามใช้ม้าคู่บุกทะลวงเข้ามา
คลื่นน้ำของจอมแหวกออกแล้วม้วนโจมตีกลับ
อสูรเหล็กไฟถึงกับตื่นตะลึงเขาสูญเสียม้าถูกกินแลกกับเม็ด
แต่หมากของสำนักอัคคีไม่เคยคิดตั้งรับ เขายังคงเน้นการบุกที่รวดเร็ว
หมากของจอมยังเคลื่อนย้ายถ่ายเทไปมาโดยใช้เรือคุมไว้ห่าง ๆ
เทพยุทธ์นิรนามยืนยิ้มอยู่ข้าง ๆ
ไม่นานนักฝ่ายรุกก็สูญเสียการควบคุมถูกจอมตีโต้
จอมกลับใช้หมากที่บุกอย่างรวดเร็วของสำนักอัคคีเข้าโจมตี
‘อะไรกันเจ้าเด็กน้อยนี่รู้วิชาของสำนัก!’ อสูรเหล็กไฟตกตะลึง
การเคลื่อนขบวนหมากแบบเปลี่ยนกลยุทธ์ในพริบตา เรียกเสียงฮือฮาจากผู้คนรอบข้างไม่คาดคิดว่าหมากที่อืดอาดยืดยาด ดูสับสนลังเล จะกลายเป็นหมากบุกแบบสายฟ้า ทั้งรวดเร็ว ทั้งแหลมคมเช่นนั้น
หมากของอสูรเหล็กไฟถูกทะลวงถึงท้ายกระดาน
ผู้ชมต่างถอนใจมองเห็นผลแพ้ชนะแน่แล้ว
พลันพบเห็น
อสูรเหล็กไฟหายใจลึก
ใบหน้าที่แดงก่ำเปล่งรังสีเจิดจ้า
ใต้ฝ่ามือมีแสงเรืองสีเพลิงวาบขึ้น
พลังไอร้อนแผ่ออกคุกคามผู้คนที่รายล้อม
ผู้คนเบิ่งตาเบิกกว้างพากันอุทานโดยพร้อมเพรียง
“พลังเพลิงโลกันตร์!!”
จอมถูกพลังรุนแรงปะทะถึงกับผงะ
เส้นผมพลิ้วสะบัดราวต้องพลังพายุไร้สภาพ
ไอร้อนผ่าวใบหน้าราวถูกเปลวอัคคีพวยผ่าย
“พลังฝีมือระดับเทพ!” นั่นเป็นเสียงจิตของเทพยุทธ์นิรนาม
พลันม้าที่เหลือตัวเดียวของอสูรเหล็กไฟทะยานสูงขึ้นจากกระดาน
หมุนตัวอยู่กลางอากาศแล้วพลิ้วลงยืนในตำแหน่งบุกที่ไม่มีการคุ้มกัน
คลื่นความร้อนแผ่กระจายออกอย่างต่อเนื่อง
โถมเข้าปะทะจอมระลอกแล้วระลอกเล่า
ยิ่งมายิ่งทวีความรุนแรงราวถูกแผดเผาด้วยเพลิงจากโลกันตร์
เหงื่อเม็ดโป้งผุดออกจากทุกขุมขน
มวลความร้อนบีบคั้นจิตใจกระวนกระวายจนจอมอยากลุกจากเก้าอี้
อยากหลบไปให้พ้นจากแรงปะทะนั่น
ธารเหงื่อหลั่งไหลจนใบหน้าจอมเปียกชุ่มโชก
จอมถอยหมากกลับมาตั้งรับ
พลังเพลิงโลกันตร์รุนแรงขึ้นทุกทีที่ฝ่ายตรงข้ามขยับตัวหมาก
ยามนี้แม้แต่ตัวหมากที่สลักจากศิลายังร้อนจนแทบหลอมละลาย
ม้าของอสูรเหล็กไฟเปลี่ยนเป็นสีเพลิงบุกทะลวงขึ้นมาอีก..มาพร้อมพลังร้ายกาจ
เป็นการบุกโดยหาได้มีหมากตัวใดเป็นกำลังหนุน จอมเกร็งพลังต่อต้านเปล่งเสียงจิตที่รุนแรงออกไป
“ท่านกำลังรนหาที่ตาย!”
“แล้วเจ้าจะรู้ว่าการรนหาที่ตายคือทางรอดสายหนึ่ง!” เสียงจิตของอสูรเหล็กไฟกลับดังกึกก้องกว่า
จอมเสื้อผ้าเปียกปอนเลือดลมปั่นป่วน
“..หากน้ำไม่สามารถเอาชนะล่ะอาจารย์ ข้าควรทำเช่นไร?”
“การเอาชนะไม่สามารถรักษาความสงบไว้ได้
มีแต่ผสานกลมกลืนเป็นหนึ่งเดียวเท่านั้นจึงจะรักษาสมดุลไว้ได้”
“เป็นหนึ่งเดียว...” จอมครุ่นคิด “ความร้อนหรืออาจารย์?”
“มีความร้อนอยู่ชนิดหนึ่งที่อ่อนโยน..ช่วยรักษา..ไม่ทำลาย..เรียกว่า...ไออุ่น”
.
จอมรู้สึกเหมือนมีไออุ่นแผ่กระจายจากบริเวณทรวงอกพร้อมคำอาจารย์ ไออุ่นไพศาลซึมซับพลังเพลิงโลกันตร์ที่รุนแรงไว้สิ้น
อสูรเหล็กไฟเคลื่อนขุมพลังเข้าโจมตีสมาธิจิตของจอมอย่างต่อเนื่อง หมายใช้เพลิงโลกันตร์กดดันให้จอมสูญเสียพลังในการต่อสู้ โดยหาได้ใส่ใจสถานการณ์หมากที่เสียเปรียบ มิคาดเด็กน้อยกลับรักษาความสงบนิ่งไว้ได้
เพลิงร้อนยิ่งมายิ่งสูญหายเหมือนเบื้องหน้ามันคือความว่างเปล่าหาได้ปะทะสิ่งใด
หมากบนกระดานที่เสียเปรียบถูกจอมล้อมรุกเข้าตาจน อสูรเหล็กไฟถลึงมองขุนของตนอย่างไม่เชื่อสายตา
เจ้าหน้าที่ร้องรับรองผลการประลอง
“หมากขาวเป็นฝ่ายชนะ!”
อสูรเหล็กไฟพ่ายทั้งพลังและฝีมือ
เขาไหว้คารวะจอมก่อนด้วยใจยอมรับจอมรีบไหว้ตอบ
ผู้คนปรบมือดังสนั่น
อสูรเหล็กไฟลุกเดินจากไป
เสียงปรบมือดังจนเขาพ้นออกประตูใหญ่
เจ้าหน้าที่อ่านประกาศทำพิธีมอบ ‘ป้ายทำเนียบเซียน’ ให้จอม บอกให้ทุกคนในวงการรู้ว่านับแต่วันนี้...เขาคือ เซียนหมากระดับ ‘เทพ’
ผู้คนพากันโห่ร้องแสดงความยินดีกับเด็กน้อยที่สร้างประวัติศาสตร์เข้าสู่ระดับเทพด้วยความรวดเร็วอย่างไม่มีใครกระทำสำเร็จมาก่อนนับแต่บรรพกาล
เทพยุทธ์นิรนามปรบมือหัวร่อเสียงดังเอียงตัวไปถามคนข้าง ๆ ว่า
“เป็นผู้ใดส่งอสูรเหล็กไฟมาประลอง?”
“ที่ข้ารู้มาเขาเสนอตัวเอง” คนข้าง ๆ ตอบ
“ไฮ้!..เสนอตัวเอง” เทพยุทธ์นิรนามอุทาน กล่าวต่อว่า
“ถ้าเช่นนั้นเต่าเฒ่ายื่นมือเข้ามาเกี่ยวข้องแล้ว” คนข้าง ๆ พยักหน้า
ผู้คนพากันแสดงความยินดีกับจอม
ถึงตอนนี้มิมีใครไม่รู้จักเด็กหนุ่ม
ที่สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของทำเนียบเซียนด้วยวัยเพียง ๑๙ ปี
ทั้งสองเดินออกจากทำเนียบพร้อมเสียงปรบมือของผู้คนที่ดังไปตลอดทางปูด้วยหิน จอมเริ่มรู้สึกคุ้นเคยกับแผ่นหินเหล่านี้ เริ่มรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของที่นี่..ยามนั้นเขาหารู้ตัวไม่...ชีวิตที่เขาดั้นด้นค้นหาเริ่มเผยใบหน้าเข้ามาทักทายเขาแล้ว
เมื่อถึงประตูใหญ่เทพยุทธ์นิรนามหันมาปรบมือให้กลุ่มคนที่ยืนปรบมือส่งทั้งสอง
จอมยกมือไหว้คนเหล่านั้น ทั้งสองออกจากทำเนียบเซียน
คำ แ น ะ นำ ที่ ดี มี ค่า ยิ่ ง ก ว่ า ท อ ง คำ
เทพบูรพา
*ผูก คือการใช้หมากป้องกันหมากของตัวเองไม่ให้ถูกฝ่ายตรงข้ามกิน