๗. สำนักอัคคี

วันต่อมา
ขณะเทพยุทธ์นิรนาม เมย์ และจอมกำลังรับประทานอาหารเช้า มีคนของสำนักอัคคีแวะมาพร้อมจดหมายจากเจ้าสำนัก

“เจ้าสำนักให้ข้ามาส่งจดหมายเชิญท่านไปดื่มชา”

เทพยุทธ์นิรนามขมวดคิ้วมองเทียบเชิญสีแดงในมือคนของสำนักอัคคี

“ขอบคุณ” เทพยุทธ์นิรนามรับจดหมายชายผู้นั้นลากลับ

เทพยุทธ์นิรนามเปิดซองออกอ่านแล้วเอ่ยกับจอม

“บ่ายนี้เราไปดื่มชาที่สำนักอัคคีกัน” เขาวางเทียบเชิญลงบบโต๊ะ

เมย์สงสัยใจอดเอ่ยถามไม่ได้  “มีอะไรหรือท่านพี่เราไม่เคยไปมาหาสู่สำนักอัคคี  ไยเจ้าสำนักจึงเชิญท่านไปดื่มชา?”

“เมื่อวานจอมชนะอสูรเหล็กไฟกำลังสำคัญของสำนักอัคคีในการเข้าชิงจตุรเทพปีนี้เป็นธรรมดาที่เต่าเฒ่าจะต้องขยับตัว” เทพยุทธ์นิรนามกล่าว

บ่ายแก่ ๆ...
ทั้งคู่มาหยุดยืนหน้าประตูบานใหญ่เหนือขึ้นไปมีป้ายอักษรดุดัน

‘สำนักอัคคี’

บานประตูทำจากแผ่นไม้โบราณ  ริ้วรอยลายไม้บอกถึงความเก่าแก่ของสถานที่
บนบานประตูมีรูปหล่อทองเหลืองเป็นหัวมังกร  ที่ปากมังกรมีห่วงทองเหลืองเป็นมันวาว  ถัดลงมาเป็นเกราะทองเหลืองรองรับห่วงฝังอยูในบานประตู  เทพยุทธ์นิรนามจับห่วงเคาะลงบนเกราะเกิดเสียงกังวาน

สักพักมีชายผู้หนึ่งเปิดประตูเขาร้องทัก “ท่านเทพยุทธ์นิรนาม” 
ทั้งหมดไหว้ทักทายกัน คนผู้นั้นกล่าวต่อว่า  “เชิญท่าน..เจ้าสำนักคอยท่านอยู่”

“ขอบคุณท่าน”  เทพยุทธ์นิรนามกล่าวตอบ

ชายคนนั้นหันมองจอมก่อนนำทั้งสองเข้าภายในสำนักอัคคี

ทันทีที่จอมก้าวข้ามธรณีประตูใหญ่เข้าไปก็รู้สึกถึงรังสีความร้อนที่ปะทะ
มองไปข้างหน้าจอมถึงกับตื่นตะลึง! เบื้องหน้าห่างจากประตูใหญ่ประมาณ ๑๐๐ หลาเป็นเปลวเพลิงมหึมาลอยอยู่เหนือปากมังกรที่เชิดหัวขึ้นสู่ท้องฟ้า  เปล่งพลังความร้อนไปทั่วทิศทาง  เปลวเพลิงเจิดจ้าแม้จะเป็นยามบ่ายยังแรงกล้าบดบังอาคารใหญ่ด้านหลังจนดูพร่าเลือน

ชายผู้นั้นนำทั้งสองอ้อมไปด้านข้างอาคารใหญ่  สู่สวนด้านหลัง
เห็นศาลาในเงาไม้ร่มรื่นจากนั้นจึงกล่าวลาคนทั้งสอง

“ท่านเจ้าสำนักคอยท่านอยู่ที่ศาลา...เชิญท่านทั้งสองตามสบาย”

“ขอบคุณท่าน” เทพยุทธ์นิรนามกล่าว

ทั้งสองเดินไปตามทางเล็ก ๆ โรยด้วยกรวดละเอียด
ถึงศาลาหลังน้อยมีคนสองคนออกมาต้อนรับ

หนึ่งเป็นชายชราหนวดเคราขาว  รูปร่างสูงโปร่งลำตัวตั้งตรงดุจคันทวน 
ดวงตาเล็กเรียวเป็นประกาย อีกหนื่งเป็นดรุณีเยาว์วัยในชุดขาวสะอาดตา

“ท่านเจ้าสำนัก” เทพยุทธ์นิรนามไหว้ทักทายชายชรา

“ท่านเทพยุทธ์นิรนาม..เชิญ..เชิญ..” ชายชรารับไหว้  นำอาคันตุกะทั้งสองเข้าในศาลา   

ภายในวางไว้ด้วยตั่งตัวหนึ่งคลุมผ้าฝ้ายขาวสะอาด 
มีพรมผ้าฝ้ายเนื้อหนานุ่มผืนสี่เหลี่ยมเป็นอาสนะทั้งสี่ด้าน
ชายชราเชิญให้เทพยุทธ์นิรนามนั่งลงฝั่งตรงข้ามตน

ดรุณีน้อยเคลื่อนกายเข้าประจำที่
มีเตาต้มน้ำและชุดปรุงชาวางอยู่ข้าง ๆ

จอมนั่งลงตรงข้ามเธอ
เทพยุทธ์นิรนามกล่าวแนะนำจอมกับเจ้าสำนักอัคคีว่า

“จอมรู้จักท่านเจ้าสำนักอัคคี ‘เหนือเซียนมังกรไฟ’ ผู้ค้นพบวิชา ‘เพลิงโลกันตร์’
สะท้านไปทั้งวงการเซียน”  จอมยกมือไหว้  เจ้าสำนักอัคคียิ้มรับดวงตาฉายประกายวาว  กล่าวถามเทพยุทธ์นิรนามว่า

“เด็กน้อยคนนี้สิที่เอาชนะอสูรเหล็กไฟ?”

“ขอรับ”  เทพยุทธ์นิรนามตอบ

“เก่ง ...เก่ง มาก”  เจ้าของฉายาเหนือเซียนมังกรไฟลูบเคราขาวพยักหน้ามองจอมอย่างพินิจอยู่ครู่ใหญ่  พลันเลิกคิ้วกล่าวว่า 

“เออ..นี่ ดอกบัว หลานสาวข้า”

ดรุณีเยาว์วัยนามดอกบัววางช้อนไม้ไผ่ที่ใช้ตักชาลงแล้วยิ้มไหว้ทักทายคนทั้งสอง  

“หลานสาวข้าเก่งทั้งบรรเลงดนตรี ร่ายบทกวีโคลงฉันท์กาพย์ กลอน และชงชา ฮ่า ๆ ๆ” ผู้เฒ่ากล่าวอย่างเบิกบานใจ  ดอกบัวแย้มยิ้มเอียงอาย  ชายชรากล่าวต่อว่า

“ไม่ได้พบกันเสียนาน..หลังการประลองเมื่อหลายปีก่อนข้าก็ไม่เคยเจอท่านอีกเลย”

“ขอรับ  ข้าต้องการใช้ชีวิตเรียบง่ายสันโดษอยู่กับภรรยา” เทพยุทธ์นิรนามกล่าว 

“ท่านมีภรรยาแล้ว!?”

“ขอรับ”

“มิน่า...จึงเงียบหายไปไม่เข้าชิงจตุรเทพ...” ผู้เฒ่ารำพึงแล้วกล่าวถามว่า
“ไยไม่ชักชวนนางมาด้วย?  ข้าจะได้รู้จักไว้”  

“เธอไม่ชมชอบเข้าสังคมขอรับ  ข้าเลยไม่อยากฝืนใจ”

“ฮ่า ๆ ดี ดี   ภรรยาที่ไม่ชมชอบเข้าสังคมมักใช้เวลาในการจัดเตรียมอาหาร
ดูแลบ้านเรือน ดี...ดี ภรรยาที่ดี”

เจ้าสำนักอัคคีหัวเราะเสียงดังอาคันตุกะทั้งสองพลอยผ่อนคลาย
ดอกบัวจัดเตรียมชาอย่างชำนาญการ
ทั้งหมดหยุดสนทนาหันมองท่วงท่าเตรียมชาของเธอ

ดรุณีน้อยเยาว์วัยเคลื่อนไหวร่างกายด้วยท่วงท่าอ่อนช้อยขนตางอนพริ้มลงสีหน้าสงบ

มีเตาต้มน้ำใบเล็กวางอยู่ข้างตัว  นางรอฟองน้ำเดือดขนาดตาปลาจึงใช้ปรุงชา 
รินน้ำแรกที่ชะล้างใบชาใส่ภาชนะรองรับ ลวกถ้วยชาวางบนจานรอง  แล้วยกป้านชารินให้ทั้งสาม  ขนาดของป้านชาพอดีรินสำหรับทั้งสามในป้านเดียว  แฝงนัยการให้เกียรติที่เท่าเทียมกัน

เจ้าสำนักอัคคียกถ้วยชาขึ้น

“เชิญ ข้าขอบใจที่ท่านทั้งสองยินยอมมาเยี่ยมเยียนผู้เฒ่า....เชิญ!”

ทั้งหมดยกชาขึ้นดื่ม  เทพยุทธ์นิรนามดื่มรวดเดียวหมดลดจอกลงแล้วกล่าว

“ดูท่าท่านเจ้าสำนักจะสิ้นเปลืองกับพวกเราแล้ว”

เจ้าสำนักอัคคีเบิ่งตาร้อง “อ้อ!” เป็นเชิงไถ่ถาม

“น้ำชาสีน้ำตาลอ่อน รสชาติเข้มข้นชุ่มคอ  นี่คือชากวนอิมเหล็กอันลือเลื่องล้ำค่า”

“ฮ่า ๆ ๆ” ชายชราหัวเราะชอบใจ  กล่าวว่า

“นอกจากฝีมือเดินหมากไร้เทียมทานแล้ว ท่านยังเป็นเซียนชาด้วย ไม่เลว ไม่เลว”

เจ้าสำนักอัคคีวางถ้วยชาลง
ดอกบัวจัดเตรียมชาชุดต่อไป
เธอใช้ช้อนไม้ไผ่ตักชาจากโถกระเบื้องขนาดย่อม  หยิบป้านชาอีกใบขึ้นมา
สำหรับผู้นิยมดื่มชาพวกเขาจะถือป้านชาประดุจภาชนะคู่กายที่ต้องเอาใจใส่ดูแล
ทั้งขนาด วัตถุดิบ การผลิต  ป้านชาหนึ่งใบจะใช้กับชาชนิดเดียวเท่านั้น
ไม่ยินยอมมีกลิ่นอื่นใดปะปนให้สูญเสียรส

ดอกบัวรินชาชุดใหม่ให้คนทั้งสาม

เจ้าสำนักอัคคียกจอกขึ้นแล้วกล่าว

“ดื่มคนเดียว...ได้...อารมณ์
ดื่มสองคน...ได้...รสชาติ
ดื่มสามคน...ได้...พูดคุย เพลิดเพลิน.....เชิญ”

ทั้งหมดดื่มรวดเดียวหมดจอก
เจ้าสำนักอัคคีเอ่ยถามจอมว่า   “เด็กน้อย เจ้าเป็นศิษย์สำนักใด?”

จอมมองเทพยุทธ์นิรนามแล้วกล่าวว่า

“ผู้น้อยรับคำสั่งอาจารย์ออกเดินทางหาความหมายแห่งชีวิต หาได้สังกัดค่ายสำนักใด”

เจ้าสำนักอัคคีขมวดคิ้วหันมองมาทางเทพยุทธ์นิรนาม

“แม้แต่ชื่ออาจารย์เขายังไม่รู้เลยขอรับ” เทพนิรนามกล่าว

“แปลก....ไม่มีชื่อไร้สำนัก แต่สามารถอบรมศิษย์ระดับนี้....อสูรเหล็กไฟ บอกข้าว่าเจ้าสามารถเปล่งเสียงจิต  เที่ยงแท้เพียงไร?”

“ข้าไม่ทราบขอรับ” จอมตอบ

“ข้าสงสัยว่าอสูรเหล็กไฟอาจอ้างเพื่อกลบเกลื่อนความผิดพลาดของตัวเองที่ประมาทเจ้า ทำให้ต้องพ่ายแพ้”

“ขอรับ” เทพยุทธ์นิรนามรีบรับคำกล่าวต่อว่า  “เสียงจิตเป็นพลังฝีมือระดับเทพ 
จอมเพิ่งเข้าวงการเซียนจะทำได้อย่างไร”

“แต่ตอนนี้เด็กน้อยก็ถือเป็นยอดฝีมือระดับเทพแล้วหรือมิใช่?” เจ้าสำนักอัคคีกล่าว

“ขอรับ” เทพนิรนามยอมรับ

ดอกบัวหยิบถ้วยชาของทั้งสามลวกน้ำร้อยทีละใบแล้วรินชาชุดใหม่
เทพยุทธ์นิรนามใช้นิ้วชี้กับนิ้วกลางเคาะลงบนตั่งแทนคำขอบคุณ

ในอดีตกษัตริย์เฉียนหลงแห่งราชวงศ์ชิงชมชอบปลอมพระองค์ออกนอกพระราชวัง  ขณะประทับในร้านน้ำชา  ทรงรินชาให้ข้าราชบริพารร่วมโต๊ะ
เหล่าข้าราชบริพารไม่รู้ทำเช่นไร...ล้วนมีความผิด  ท่านหนึ่งมีปฏิภาณ คว่ำมือลง งอนิ้วชี้กับนิ้วกลางลงบนโต๊ะแทนการคุกเข่าคารวะ

การเคาะสองนิ้วลงบนโต๊ะจึงถูกใช้แทนคำขอบคุณบนโต๊ะชา

เทพยุทธ์นิรนามกล่าวถามว่า

“ไม่ทราบท่านเจ้าสำนักมีธุระใดจึงเรียกหาพวกเรามาพบวันนี้?”

“ฮา ๆ ๆ จะมีธุระอันใด  ข้าเพียงเบื่อดอกบัว” เจ้าสำนักอัคคีหันไปทางดรุณีน้อย
เธอแย้มยิ้มเอียงอาย  ชายชรากล่าวต่อว่า  

“ข้าอยากเปลี่ยนคู่สนทนาบ้าง  พอดีได้ข่าวเข้าสู่ทำเนียบเซียนสะท้านวงการของจอมข้าก็อยากรู้จักไว้....พบวันนี้นับว่าน่ายินดี” ผู้เฒ่าหันไปทางจอม   “ข้ายินดีกับเจ้า  ขอต้อนรับสู่วงการเซียน...มาดื่ม”

ทั้งหมดยกจอกขึ้นดื่มโดยพร้อมเพรียง

เจ้าสำนักอัคคีเอ่ยถามจอม

“เจ้าบอกว่าออกค้นหาความหมายชีวิต เจ้าได้คำตอบหรือยัง?”

“ยังขอรับ..ได้รับคำชี้แนะจากท่านเจ้าสำนักสักเล็กน้อยจะเป็นพระคุณยิ่งขอรับ”  จอมตอบ 

ชายชราดวงตาทอประกายกล่าวโดยเน้นเสียง

“สำหรับข้า  ชีวิตก็คือการต่อสู้  ต่อสู้ไปสู่เป้าหมาย  ต่อสู้กับทุกเรื่องราวที่ผ่านเข้ามาในชีวิต ต้องพัฒนาตัวเองตลอดเวลา  เพื่อชัยชนะในการต่อสู้หยุดเมื่อไรก็จะพ่าย...ความพ่ายแพ้นำมาซึ่งความสูญเสีย...สูญเสียทุกอย่างในชีวิต...”  ชายชราทอดสายตาไปแสนไกล  เหมือนกำลังทบทวนเรื่องราวในอดีตอันหล่อหลอมชีวิตผู้เฒ่าผ่านโลก

“นี่คงแตกต่างจากท่านสินะท่านเทพยุทธ์นิรนาม”  ท่านหันมากล่าวกับเทพยุทธ์นิรนาม  เทพยุทธ์นิรนามแย้มยิ้มไม่ตอบคำ  จอมเอ่ยถามขึ้นว่า

“แล้ววันหนึ่งหากหมดคู่ต่อสู้ล่ะขอรับ”

“ก็สู้กับตัวเอง สู้กับโชคชะตา แต่อย่าลืมเหนือฟ้ายังมีฟ้าเป็นสัจธรรม”

“ขอบพระคุณขอรับ...ผู้น้อยจะจดจำไว้”

ทั้งสองร่วมสนทนากับเหนือเซียนมังกรไฟเจ้าสำนักอัคคีจนล่วงสนธยาจึงลากลับ
ระหว่างทางเทพยุทธ์นิรนามถามจอมว่า

“เจ้าเห็นว่าเจ้าสำนักอัคคีเป็นเช่นไร?”

“เป็นผู้ใหญ่ที่น่านับถือ  เป็นกันเอง”

“อืม...ข้าก็รู้สึกเช่นนั้นเมื่อหลายปีก่อน”

“หมายความว่าอย่างไรขอรับ?”

“ก็หมายความว่าพอรู้จักไปนาน ๆ จึงได้พบพิษสงของเต่าเฒ่านะสิ ฮ่า ๆ ๆ”  เขาตบไหล่จอมหัวเราะร่า  จอมได้แต่งุนงง

ลำแสงสนธยาทาบทาขอบฟ้า.. เงาร่างของทั้งสองทอดไปบนหนทางคืนเรือน 

ห า ก ไ ม่ มี ก า ร แ ข่ ง ขั น  จ ะ ไ ม่ มี ก า ร เ รี ย น รู้ พั ฒ น า ตั ว เ อ ง

                                                             เหนือเซียนมังกรไฟ