วันต่อมา
ขณะเทพยุทธ์นิรนาม เมย์ และจอมกำลังรับประทานอาหารเช้า มีคนของสำนักอัคคีแวะมาพร้อมจดหมายจากเจ้าสำนัก
“เจ้าสำนักให้ข้ามาส่งจดหมายเชิญท่านไปดื่มชา”
เทพยุทธ์นิรนามขมวดคิ้วมองเทียบเชิญสีแดงในมือคนของสำนักอัคคี
“ขอบคุณ” เทพยุทธ์นิรนามรับจดหมายชายผู้นั้นลากลับ
เทพยุทธ์นิรนามเปิดซองออกอ่านแล้วเอ่ยกับจอม
“บ่ายนี้เราไปดื่มชาที่สำนักอัคคีกัน” เขาวางเทียบเชิญลงบบโต๊ะ
เมย์สงสัยใจอดเอ่ยถามไม่ได้ “มีอะไรหรือท่านพี่เราไม่เคยไปมาหาสู่สำนักอัคคี ไยเจ้าสำนักจึงเชิญท่านไปดื่มชา?”
“เมื่อวานจอมชนะอสูรเหล็กไฟกำลังสำคัญของสำนักอัคคีในการเข้าชิงจตุรเทพปีนี้เป็นธรรมดาที่เต่าเฒ่าจะต้องขยับตัว” เทพยุทธ์นิรนามกล่าว
บ่ายแก่ ๆ...
ทั้งคู่มาหยุดยืนหน้าประตูบานใหญ่เหนือขึ้นไปมีป้ายอักษรดุดัน
‘สำนักอัคคี’
บานประตูทำจากแผ่นไม้โบราณ ริ้วรอยลายไม้บอกถึงความเก่าแก่ของสถานที่
บนบานประตูมีรูปหล่อทองเหลืองเป็นหัวมังกร ที่ปากมังกรมีห่วงทองเหลืองเป็นมันวาว ถัดลงมาเป็นเกราะทองเหลืองรองรับห่วงฝังอยูในบานประตู เทพยุทธ์นิรนามจับห่วงเคาะลงบนเกราะเกิดเสียงกังวาน
สักพักมีชายผู้หนึ่งเปิดประตูเขาร้องทัก “ท่านเทพยุทธ์นิรนาม”
ทั้งหมดไหว้ทักทายกัน คนผู้นั้นกล่าวต่อว่า “เชิญท่าน..เจ้าสำนักคอยท่านอยู่”
“ขอบคุณท่าน” เทพยุทธ์นิรนามกล่าวตอบ
ชายคนนั้นหันมองจอมก่อนนำทั้งสองเข้าภายในสำนักอัคคี
ทันทีที่จอมก้าวข้ามธรณีประตูใหญ่เข้าไปก็รู้สึกถึงรังสีความร้อนที่ปะทะ
มองไปข้างหน้าจอมถึงกับตื่นตะลึง! เบื้องหน้าห่างจากประตูใหญ่ประมาณ ๑๐๐ หลาเป็นเปลวเพลิงมหึมาลอยอยู่เหนือปากมังกรที่เชิดหัวขึ้นสู่ท้องฟ้า เปล่งพลังความร้อนไปทั่วทิศทาง เปลวเพลิงเจิดจ้าแม้จะเป็นยามบ่ายยังแรงกล้าบดบังอาคารใหญ่ด้านหลังจนดูพร่าเลือน
ชายผู้นั้นนำทั้งสองอ้อมไปด้านข้างอาคารใหญ่ สู่สวนด้านหลัง
เห็นศาลาในเงาไม้ร่มรื่นจากนั้นจึงกล่าวลาคนทั้งสอง
“ท่านเจ้าสำนักคอยท่านอยู่ที่ศาลา...เชิญท่านทั้งสองตามสบาย”
“ขอบคุณท่าน” เทพยุทธ์นิรนามกล่าว
ทั้งสองเดินไปตามทางเล็ก ๆ โรยด้วยกรวดละเอียด
ถึงศาลาหลังน้อยมีคนสองคนออกมาต้อนรับ
หนึ่งเป็นชายชราหนวดเคราขาว รูปร่างสูงโปร่งลำตัวตั้งตรงดุจคันทวน
ดวงตาเล็กเรียวเป็นประกาย อีกหนื่งเป็นดรุณีเยาว์วัยในชุดขาวสะอาดตา
“ท่านเจ้าสำนัก” เทพยุทธ์นิรนามไหว้ทักทายชายชรา
“ท่านเทพยุทธ์นิรนาม..เชิญ..เชิญ..” ชายชรารับไหว้ นำอาคันตุกะทั้งสองเข้าในศาลา
ภายในวางไว้ด้วยตั่งตัวหนึ่งคลุมผ้าฝ้ายขาวสะอาด
มีพรมผ้าฝ้ายเนื้อหนานุ่มผืนสี่เหลี่ยมเป็นอาสนะทั้งสี่ด้าน
ชายชราเชิญให้เทพยุทธ์นิรนามนั่งลงฝั่งตรงข้ามตน
ดรุณีน้อยเคลื่อนกายเข้าประจำที่
มีเตาต้มน้ำและชุดปรุงชาวางอยู่ข้าง ๆ
จอมนั่งลงตรงข้ามเธอ
เทพยุทธ์นิรนามกล่าวแนะนำจอมกับเจ้าสำนักอัคคีว่า
“จอมรู้จักท่านเจ้าสำนักอัคคี ‘เหนือเซียนมังกรไฟ’ ผู้ค้นพบวิชา ‘เพลิงโลกันตร์’
สะท้านไปทั้งวงการเซียน” จอมยกมือไหว้ เจ้าสำนักอัคคียิ้มรับดวงตาฉายประกายวาว กล่าวถามเทพยุทธ์นิรนามว่า
“เด็กน้อยคนนี้สิที่เอาชนะอสูรเหล็กไฟ?”
“ขอรับ” เทพยุทธ์นิรนามตอบ
“เก่ง ...เก่ง มาก” เจ้าของฉายาเหนือเซียนมังกรไฟลูบเคราขาวพยักหน้ามองจอมอย่างพินิจอยู่ครู่ใหญ่ พลันเลิกคิ้วกล่าวว่า
“เออ..นี่ ดอกบัว หลานสาวข้า”
ดรุณีเยาว์วัยนามดอกบัววางช้อนไม้ไผ่ที่ใช้ตักชาลงแล้วยิ้มไหว้ทักทายคนทั้งสอง
“หลานสาวข้าเก่งทั้งบรรเลงดนตรี ร่ายบทกวีโคลงฉันท์กาพย์ กลอน และชงชา ฮ่า ๆ ๆ” ผู้เฒ่ากล่าวอย่างเบิกบานใจ ดอกบัวแย้มยิ้มเอียงอาย ชายชรากล่าวต่อว่า
“ไม่ได้พบกันเสียนาน..หลังการประลองเมื่อหลายปีก่อนข้าก็ไม่เคยเจอท่านอีกเลย”
“ขอรับ ข้าต้องการใช้ชีวิตเรียบง่ายสันโดษอยู่กับภรรยา” เทพยุทธ์นิรนามกล่าว
“ท่านมีภรรยาแล้ว!?”
“ขอรับ”
“มิน่า...จึงเงียบหายไปไม่เข้าชิงจตุรเทพ...” ผู้เฒ่ารำพึงแล้วกล่าวถามว่า
“ไยไม่ชักชวนนางมาด้วย? ข้าจะได้รู้จักไว้”
“เธอไม่ชมชอบเข้าสังคมขอรับ ข้าเลยไม่อยากฝืนใจ”
“ฮ่า ๆ ดี ดี ภรรยาที่ไม่ชมชอบเข้าสังคมมักใช้เวลาในการจัดเตรียมอาหาร
ดูแลบ้านเรือน ดี...ดี ภรรยาที่ดี”
เจ้าสำนักอัคคีหัวเราะเสียงดังอาคันตุกะทั้งสองพลอยผ่อนคลาย
ดอกบัวจัดเตรียมชาอย่างชำนาญการ
ทั้งหมดหยุดสนทนาหันมองท่วงท่าเตรียมชาของเธอ
ดรุณีน้อยเยาว์วัยเคลื่อนไหวร่างกายด้วยท่วงท่าอ่อนช้อยขนตางอนพริ้มลงสีหน้าสงบ
มีเตาต้มน้ำใบเล็กวางอยู่ข้างตัว นางรอฟองน้ำเดือดขนาดตาปลาจึงใช้ปรุงชา
รินน้ำแรกที่ชะล้างใบชาใส่ภาชนะรองรับ ลวกถ้วยชาวางบนจานรอง แล้วยกป้านชารินให้ทั้งสาม ขนาดของป้านชาพอดีรินสำหรับทั้งสามในป้านเดียว แฝงนัยการให้เกียรติที่เท่าเทียมกัน
เจ้าสำนักอัคคียกถ้วยชาขึ้น
“เชิญ ข้าขอบใจที่ท่านทั้งสองยินยอมมาเยี่ยมเยียนผู้เฒ่า....เชิญ!”
ทั้งหมดยกชาขึ้นดื่ม เทพยุทธ์นิรนามดื่มรวดเดียวหมดลดจอกลงแล้วกล่าว
“ดูท่าท่านเจ้าสำนักจะสิ้นเปลืองกับพวกเราแล้ว”
เจ้าสำนักอัคคีเบิ่งตาร้อง “อ้อ!” เป็นเชิงไถ่ถาม
“น้ำชาสีน้ำตาลอ่อน รสชาติเข้มข้นชุ่มคอ นี่คือชากวนอิมเหล็กอันลือเลื่องล้ำค่า”
“ฮ่า ๆ ๆ” ชายชราหัวเราะชอบใจ กล่าวว่า
“นอกจากฝีมือเดินหมากไร้เทียมทานแล้ว ท่านยังเป็นเซียนชาด้วย ไม่เลว ไม่เลว”
เจ้าสำนักอัคคีวางถ้วยชาลง
ดอกบัวจัดเตรียมชาชุดต่อไป
เธอใช้ช้อนไม้ไผ่ตักชาจากโถกระเบื้องขนาดย่อม หยิบป้านชาอีกใบขึ้นมา
สำหรับผู้นิยมดื่มชาพวกเขาจะถือป้านชาประดุจภาชนะคู่กายที่ต้องเอาใจใส่ดูแล
ทั้งขนาด วัตถุดิบ การผลิต ป้านชาหนึ่งใบจะใช้กับชาชนิดเดียวเท่านั้น
ไม่ยินยอมมีกลิ่นอื่นใดปะปนให้สูญเสียรส
ดอกบัวรินชาชุดใหม่ให้คนทั้งสาม
เจ้าสำนักอัคคียกจอกขึ้นแล้วกล่าว
“ดื่มคนเดียว...ได้...อารมณ์
ดื่มสองคน...ได้...รสชาติ
ดื่มสามคน...ได้...พูดคุย เพลิดเพลิน.....เชิญ”
ทั้งหมดดื่มรวดเดียวหมดจอก
เจ้าสำนักอัคคีเอ่ยถามจอมว่า “เด็กน้อย เจ้าเป็นศิษย์สำนักใด?”
จอมมองเทพยุทธ์นิรนามแล้วกล่าวว่า
“ผู้น้อยรับคำสั่งอาจารย์ออกเดินทางหาความหมายแห่งชีวิต หาได้สังกัดค่ายสำนักใด”
เจ้าสำนักอัคคีขมวดคิ้วหันมองมาทางเทพยุทธ์นิรนาม
“แม้แต่ชื่ออาจารย์เขายังไม่รู้เลยขอรับ” เทพนิรนามกล่าว
“แปลก....ไม่มีชื่อไร้สำนัก แต่สามารถอบรมศิษย์ระดับนี้....อสูรเหล็กไฟ บอกข้าว่าเจ้าสามารถเปล่งเสียงจิต เที่ยงแท้เพียงไร?”
“ข้าไม่ทราบขอรับ” จอมตอบ
“ข้าสงสัยว่าอสูรเหล็กไฟอาจอ้างเพื่อกลบเกลื่อนความผิดพลาดของตัวเองที่ประมาทเจ้า ทำให้ต้องพ่ายแพ้”
“ขอรับ” เทพยุทธ์นิรนามรีบรับคำกล่าวต่อว่า “เสียงจิตเป็นพลังฝีมือระดับเทพ
จอมเพิ่งเข้าวงการเซียนจะทำได้อย่างไร”
“แต่ตอนนี้เด็กน้อยก็ถือเป็นยอดฝีมือระดับเทพแล้วหรือมิใช่?” เจ้าสำนักอัคคีกล่าว
“ขอรับ” เทพนิรนามยอมรับ
ดอกบัวหยิบถ้วยชาของทั้งสามลวกน้ำร้อยทีละใบแล้วรินชาชุดใหม่
เทพยุทธ์นิรนามใช้นิ้วชี้กับนิ้วกลางเคาะลงบนตั่งแทนคำขอบคุณ
ในอดีตกษัตริย์เฉียนหลงแห่งราชวงศ์ชิงชมชอบปลอมพระองค์ออกนอกพระราชวัง ขณะประทับในร้านน้ำชา ทรงรินชาให้ข้าราชบริพารร่วมโต๊ะ
เหล่าข้าราชบริพารไม่รู้ทำเช่นไร...ล้วนมีความผิด ท่านหนึ่งมีปฏิภาณ คว่ำมือลง งอนิ้วชี้กับนิ้วกลางลงบนโต๊ะแทนการคุกเข่าคารวะ
การเคาะสองนิ้วลงบนโต๊ะจึงถูกใช้แทนคำขอบคุณบนโต๊ะชา
เทพยุทธ์นิรนามกล่าวถามว่า
“ไม่ทราบท่านเจ้าสำนักมีธุระใดจึงเรียกหาพวกเรามาพบวันนี้?”
“ฮา ๆ ๆ จะมีธุระอันใด ข้าเพียงเบื่อดอกบัว” เจ้าสำนักอัคคีหันไปทางดรุณีน้อย
เธอแย้มยิ้มเอียงอาย ชายชรากล่าวต่อว่า
“ข้าอยากเปลี่ยนคู่สนทนาบ้าง พอดีได้ข่าวเข้าสู่ทำเนียบเซียนสะท้านวงการของจอมข้าก็อยากรู้จักไว้....พบวันนี้นับว่าน่ายินดี” ผู้เฒ่าหันไปทางจอม “ข้ายินดีกับเจ้า ขอต้อนรับสู่วงการเซียน...มาดื่ม”
ทั้งหมดยกจอกขึ้นดื่มโดยพร้อมเพรียง
เจ้าสำนักอัคคีเอ่ยถามจอม
“เจ้าบอกว่าออกค้นหาความหมายชีวิต เจ้าได้คำตอบหรือยัง?”
“ยังขอรับ..ได้รับคำชี้แนะจากท่านเจ้าสำนักสักเล็กน้อยจะเป็นพระคุณยิ่งขอรับ” จอมตอบ
ชายชราดวงตาทอประกายกล่าวโดยเน้นเสียง
“สำหรับข้า ชีวิตก็คือการต่อสู้ ต่อสู้ไปสู่เป้าหมาย ต่อสู้กับทุกเรื่องราวที่ผ่านเข้ามาในชีวิต ต้องพัฒนาตัวเองตลอดเวลา เพื่อชัยชนะในการต่อสู้หยุดเมื่อไรก็จะพ่าย...ความพ่ายแพ้นำมาซึ่งความสูญเสีย...สูญเสียทุกอย่างในชีวิต...” ชายชราทอดสายตาไปแสนไกล เหมือนกำลังทบทวนเรื่องราวในอดีตอันหล่อหลอมชีวิตผู้เฒ่าผ่านโลก
“นี่คงแตกต่างจากท่านสินะท่านเทพยุทธ์นิรนาม” ท่านหันมากล่าวกับเทพยุทธ์นิรนาม เทพยุทธ์นิรนามแย้มยิ้มไม่ตอบคำ จอมเอ่ยถามขึ้นว่า
“แล้ววันหนึ่งหากหมดคู่ต่อสู้ล่ะขอรับ”
“ก็สู้กับตัวเอง สู้กับโชคชะตา แต่อย่าลืมเหนือฟ้ายังมีฟ้าเป็นสัจธรรม”
“ขอบพระคุณขอรับ...ผู้น้อยจะจดจำไว้”
ทั้งสองร่วมสนทนากับเหนือเซียนมังกรไฟเจ้าสำนักอัคคีจนล่วงสนธยาจึงลากลับ
ระหว่างทางเทพยุทธ์นิรนามถามจอมว่า
“เจ้าเห็นว่าเจ้าสำนักอัคคีเป็นเช่นไร?”
“เป็นผู้ใหญ่ที่น่านับถือ เป็นกันเอง”
“อืม...ข้าก็รู้สึกเช่นนั้นเมื่อหลายปีก่อน”
“หมายความว่าอย่างไรขอรับ?”
“ก็หมายความว่าพอรู้จักไปนาน ๆ จึงได้พบพิษสงของเต่าเฒ่านะสิ ฮ่า ๆ ๆ” เขาตบไหล่จอมหัวเราะร่า จอมได้แต่งุนงง
ลำแสงสนธยาทาบทาขอบฟ้า.. เงาร่างของทั้งสองทอดไปบนหนทางคืนเรือน
ห า ก ไ ม่ มี ก า ร แ ข่ ง ขั น จ ะ ไ ม่ มี ก า ร เ รี ย น รู้ พั ฒ น า ตั ว เ อ ง
เหนือเซียนมังกรไฟ