๕. ศึกครั้งแรก

จอมเปิดหมากด้วย ‘อาชาเลียบค่าย’ เป็นหมากพื้นฐานที่กระจายกำลังตั้งรับรัดกุม ฝ่ายตรงข้ามใช้ ‘อาชาคะนองศึก’ ส่งม้าขึ้นสูงชิงเอาเปรียบด้วยเห็นคู่ต่อสู้เป็น เด็กน้อยเพิ่งหัดเดินหมาก

จอมตั้งรับตลอดเวลา ฝ่ายตรงข้ามโหมบุกปิดล้อม ส่งกำลังหนุนต่อเนื่องไม่เปิดโอกาสให้จอมได้ตั้งตัว จอมเริ่มอึดอัดขยับหมากไม่ได้...เม็ดเหงื่อเริ่มหยดไหล เขาคิดถึงครั้งเดินหมากกับอาจารย์

“ข้าไม่รู้จะเดินตาไหนแล้วอาจารย์ ทุกตัวถูกล้อมไว้หมดแล้ว หากถอนตัวใดตัวที่เหลือก็จะถูกกิน...”

“เจ้าลองมองหาตัวที่หากถูกกินแล้วฝ่ายตรงข้ามเปิดช่องโหว่ หรือตัวที่เสียหายน้อยที่สุด”

จอมถ่ายเทหมากเปลี่ยนฟากตั้งรับ...ยอมเสียเม็ด สถานการณ์ยังเสียเปรียบ

เทพยุทธ์นิรนามยืนมองอยู่ด้านข้าง เห็นหมากของจอมสับสนปนเปไม่รู้ค่ายสำนัก ดูเหมือนถอยร่นไม่เป็นกระบวนแต่ทุกตัวยังรักษาตำแหน่งที่ถูกต้อง เขาขมวดคิ้วด้วยหลากใจ จากประสบการณ์ที่เขาประมือนักเดินหมากทุกค่ายสำนัก กลับไม่สามารถแยกแยะทางหมากของจอม

มือที่จับตัวหมากของเด็กหนุ่มเปียกชื้น หัวใจเต้นแรง เขาเคยแต่เดินหมากกับอาจารย์ไม่เคยประลองกับใคร หมากที่ฝ่ายตรงข้ามบุกเข้ามา ล้วนเป็นหมากที่จอมเคยพบเจอมาแล้ว การแข่งขัน ก่อให้เกิดความขัดแย้งเช่นนี้เอง ความขัดแย้งในใจ... กังวลกับชัยชนะ... กังวลกับความพ่ายแพ้...

จอมถอยร่นจนฝ่ายตรงข้ามยกกำลังทั้งหมดกดดันเข้าประชิด หมากของจอมถูกล้อมแน่นหนา ขุนของฝ่ายตรงข้ามขยับตามเข้ามาเสริมกำลัง รอยยิ้มที่มุมปากบอกความมั่นใจอีกไม่เกินสามตา หมากเจ้าเด็กอ่อนหัดจะโดนกวาดหมดกระดาน เขาชักม้าตามขึ้นมา

ต่อไปเป็นตาของจอม....

จุดอ่อนหนึ่งเดียวที่จอมมองเห็น ‘แม่ทัพ’ ของฝ่ายตรงข้ามถูกล้อมด้วยกองกำลังของตัวเอง จอมเปิดทางเข้าไป ส่ง ‘โคน’ เข้าไปให้กินฟรี ฝ่ายตรงข้ามรีบกินด้วยความกระหยิ่ม ‘เจ้าเด็กนี่คงไม่อยากเล่นต่อแล้ว’ เขาคิด

จอมส่ง ‘ม้า’ เข้าไปอีกตัวฝ่ายตรงข้ามรีบกินโดยไม่ลังเล

จอมใช้ ‘ม้า’ ที่เหลือตามขึ้นไปร้อง ‘รุก’ ฝ่ายตรงข้ามตกใจดวงตาเบิกโพลงมือสั่นจนไม่อาจระงับยับยั้ง เขา ‘จน’ ทั้งที่ตัวหมากยังมีอยู่เต็มกระดาน เขาพ่ายอย่างไม่รู้ตัว พ่ายแพ้ให้แก่เด็กน้อยอ่อนหัดที่แค่เริ่มเดินหมากก็ตื่นเต้นจนเห็นได้ชัด เขาไม่อยากเชื่อ แต่ถึงตอนนี้เขามิอาจไม่เชื่อ เขาพ่ายแล้วจริง ๆ

เจ้าหน้าที่ประกาศรับรองผล “หมากขาวเป็นฝ่ายชนะ”

ทั้งสองไหว้ทำความเคารพกันและกัน ฝ่ายตรงข้ามจากไปด้วยใจยากจะยอมรับ

เทพยุทธ์นิรนามหัวเราะร่าตบไหล่จอม

“ฮา ฮา ดีมากเจ้าหนูข้าคิดว่าเจ้าจะแย่เสียแล้วสั่นเหลือเกิน”

“ข้าพเจ้าไม่อยากประลองอีกแล้วท่าน การประลองทำให้ข้าพเจ้าไม่สบาย” จอมลุกขึ้นอย่างหมดเรี่ยวแรง

“ไฮ้ ใครบอกว่าเจ้ากำลังประลอง แค่นั่งลงแล้วเดินหมากอย่างที่เจ้าเคยเดินกับอาจารย์ ก็เท่านั้นแพ้แล้วเป็นไร...ชนะแล้วเป็นไร..ไม่เห็นจะได้หรือเสียอะไร เสร็จแล้วก็ออกค้นหาความหมายชีวิตของเจ้าต่อไป” จอมนิ่งคิด..ใช่สิ..แพ้แล้วเป็นไร ชนะแล้วเป็นไร จอมเดินหมากแพ้อาจารย์มาตั้งมากมาย มีบ้างบางกระดานที่อาจารย์จงใจให้ชนะเพื่อสอนให้รู้จักรสชาติชัยชนะและพ่ายแพ้

“....เจ้ารู้สึกใช่ไหมว่ารสชาติต่างกัน?”

“ขอรับอาจารย์”

“ตอนพ่ายเป็นรสชาติเช่นไร?”

“อึดอัดไม่ยินยอมอยากแก้ตัวอีกครั้ง....” เขานิ่งคิดก่อนเอ่ยเสียงแผ่ว “รู้สึกว่าตัวเองต่ำต้อย”

“ยามชนะเล่ามีรสชาติเช่นไร?”

“ดีใจ....ภูมิใจ...รู้สึกหัวใจพองโตอย่างเลิศลอย”

“ เจ้ารู้จักมันก็ดีแล้ว”

อาจารย์จะคอยถามจอมทุกครั้งที่เสร็จจากเดินหมาก จนวันหนึ่ง.จอมจึงเข้าใจความหมาย วันที่รสชาติของแพ้-ชนะ รวมเป็นหนึ่งเดียว

วันนั้น...หลังจากวางหมากตัวสุดท้าย จอมเพียงทิ้งมือลงแล้วยิ้มให้อาจารย์ ตั้งแต่วันนั้นอาจารย์ไม่เคยถามถึงรสชาติของแพ้ – ชนะ กับจอมอีกเลย

“มาเรามาไปกันต่อ!” เสียงของเทพยุทธ์นิรนามปลุกจอมจากภวังค์ ทั้งสองเดินตามเจ้าหน้าที่เข้าสู่แถวสองของลานทดสอบ

คราวนี้จอมผ่านด่านที่สองอย่างง่ายดาย เขาเพียงนั่งลง...แล้วเดินหมาก...เดินหมาก... ด่านที่ สาม...สี่...ห้า...ก็เป็นไปอย่างง่ายดาย ถึงยามนี้ข่าวเรื่องเด็กหนุ่มมือใหม่ผู้ผ่านด่านอย่างรวดเร็วกระจายไปทั่วลานทดสอบ ผู้คนต่างรุมเข้ามามุงดูไม่เว้นแม้แต่นักเดินหมากที่กำลังจะทดสอบเข้าสู่ทำเนียบ ยังยินยอมยกเลิกการทดสอบของตัวเองมาดูเด็กหนุ่มที่กำลังพลิกประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของวงการหมากรุกโดยการเข้าสู่ทำเนียบเซียนด้วยวัยไม่ถึงยี่สิบปี

จอมผ่านครบสิบด่านภายในวันเดียว ขณะนักเดินหมากทั่วไปต้องใช้เวลาอย่างเร็ว ๔-๕ เดือน

สนธยา คนทั้งสองเดินผ่านย่านชุมชนออกสู่เส้นทางกลับกระท่อม เทพยุทธ์นิรนามแวะซื้อสุรากับเป็ดตุ๋นตัวอ้วนพี

“เราต้องฉลองกันสักหน่อย ข้ามองเจ้าไม่ผิดจริง ๆ เก่งกว่าข้าตอนหนุ่ม ๆ เสียอีก ฮา ฮา”

จอมเริ่มคุ้นเคยกับอัธยาศัยง่าย ๆ เป็นกันเองของเทพยุทธ์นิรนาม คนทั้งคู่สนทนาหยอกล้อกันไปตลอดทาง จนถึงประตูรั้ว

“ข้ากลับมาแล้ว!”

ก ล ห ม า ก ที่ ไ ร้ ก ร ะ บ ว น ก ลั บ อ า ศั ย ก ร ะ บ ว น ห ม า ก ข อ ง ฝ่ า ย ต ร ง ข้ า ม ใ น ก า ร ต่ อ สู้

เทพอุดร

k r a t o m t u l e e Din : My Writing Life,