เด็กหนุ่มออกเดินทางรอนแรมไร้จุดหมาย
ดุจเมฆาล่องลอยบนฟากฟ้า
ตะวันบ่ายเริ่มคล้อยแต่ยังแผดจ้าผลาญเผา
เส้นทางสัญจรผ่านป่าเขาแล้งร้อน เด็กหนุ่มหลบเข้าร่มเงาไม้ข้างทางเป็นระยะ
กระบอกไม้ไผ่แกว่งไกวอยู่ข้างตัวมีน้ำดื่มเหลืออีกนิดหน่อย
เขาขยับปมเชือกให้ตึงลดการกระแทกยามย่ำเดิน
ดึงผ้าผืนจากในย่ามออกมาซับเหงื่อแล้วพันไว้รอบศีรษะ
รองเท้าฟางของเขายามนี้สึกกร่อนจนส้นเท้าสัมผัสพื้น
เขานึกแค้นตัวเองที่ไม่อาจจดจำว่าเวลาได้ผ่านมากี่วันคืน
เขาน่าจะหักกิ่งไม้เก็บไว้วันละชิ้น
อย่างน้อยยังได้รู้ว่าจากอาจารย์มากี่วันแล้ว
แต่ได้คิดก็ผ่านมาจนเขาเองไม่อาจแน่ใจ
หรือเริ่มนับตั้งแต่วันนี้ก็อาจไม่สายเขาคิด
ทั้งที่ไม่รู้ว่าจะนับคืนวันไปเพื่ออะไรเขาหักกิ่งไม้ข้างทางใส่ลงในย่าม
เส้นทางสัญจรบรรจบสามแพร่ง
บนหนทางที่ตัดผ่านเต็มไปด้วยผู้คนเดินฝ่าเปลวแดดอย่างเร่งรีบ
บ้างเดินมาโดยเดียว บ้างเดินเป็นกลุ่มส่งเสียงพูดคุย
เด็กหนุ่มหยุดมองคนเหล่านั้นด้วยความสงสัย ชายกลางคนผู้หนึ่งเดินผ่านหน้าเขา เขาร้องถามออกไป
“ขอโทษเถอะท่าน เหล่าท่านกำลังมุ่งหน้าไปไหน? มีเหตุใดเกิดขึ้นหรือ?”
ชายผู้นั้นร้องตอบ
“เจ้าไม่รู้หรือไร มีการประลองครั้งใหญ่ระหว่าง ‘เทพ’ ที่ดอยม่านหมอก”
กล่าวจบเขาจ้ำตามกลุ่มเพื่อนที่เดินอยู่ข้างหน้า
เด็กหนุ่มเดินตามคนกลุ่มนั้น
การประลองครั้งใหญ่กระตุ้นความสนใจใคร่รู้
ครั้งอยู่กับอาจารย์เขาไม่เคยประลองกับใคร
อาจารย์สอนให้เดินหมากหวังกล่อมเกลาจิตใจ
หาใช่เพื่อการแก่งแย่งแข่งขัน เขายังจดจำถ้อยคำอาจารย์
“โลกภายนอกเต็มไปด้วยการแข่งขันแย่งชิง ผู้คนในใต้หล้าตั้งแต่กำเนิดเกิดมา
ก็จมอยู่กับปลักตมแห่งการยื้อแย่งช่วงชิง มีบ้างบางคนที่สามารถบีนป่ายจนหลุดพ้น
แต่ยังมีอีกมากที่ฝังร่างอยู่ใต้ตมแห่งการยื้อแย่งแข่งขัน” ผู้เฒ่ากล่าวขณะมองไปที่ไกลตา
เด็กหนุ่มเอ่ยถามขึ้นว่า
“หากไม่ใช่เพื่อชัยชนะ เช่นนั้นเราฝึกเดินหมากเพื่อสิ่งใดเล่าอาจารย์?”
“เดินหมากก็เหมือนดำเนินชีวิต เจ้าต้องคิดทุกครั้งก่อนขยับหมาก
ใช่เพียงคิดผิวเผินแต่เป็นคิดอย่างสุขุมรอบคอบลุ่มลึก นอกจากคิดไปข้างหน้า
ยังต้องคิดมาข้างหลัง รู้จักอดทนอดกลั้นรอคอย เหล่านี้ล้วนส่งผลต่อจิตใจ
เดินหมากเช่นไร อุปนิสัยย่อมเป็นเช่นนั้น หมากจะช่วยขัดเกลาจิตใจเจ้า
ทีละน้อย จนกว่าบรรลุสภาวะสูงสุด นั่นคือที่หมายของผู้เดินบนมรรคาแห่งหมาก”
เขาน้อมรับคำสอนสั่งของอาจารย์ไว้เหนือเกล้า
แต่ลึกในใจก็อยากรู้อยากเห็นโลกภายนอก
กระทั่งบางครั้งยังนึกสงสัยว่าผู้คนในโลกหล้าเดินหมากกันเช่นไร
เด็กหนุ่มติดตามคนกลุ่มนั้นจนลุถึงลานกว้าง
เลยออกไปเป็นท้องฟ้าเวิ้งว้าง
ถึดจากลานศิลาเป็นหุบเหวลึกลงเบื้องล่าง
ลานศิลาเต็มไปด้วยผู้คนล้อมเป็นวง
เขาพยามแทรกตัวเข้าไป
กลางลานวางไว้ด้วยโต๊ะเก้าอี้หินเนื้อเนียนเรียบ
มีตัวหมากขาว-ดำสลักจากหินเนื้อดีวางกระจายอยู่บนโต๊ะ
การประลองคงเริ่มไปได้สักระยะแล้ว
เหนือเก้าอี้หินมีรูปคล้ายหินแกะสลักเป็นคนสองคนนั่งนิ่งเพ่งมองตัวหมากบนกระดาน
ทั่วทั้งลานประลองเต็มไปด้วยผู้คนแต่กลับเงียบสงัดมีเพียงเสียงสกุณาแว่วมาจากที่ห่างไกล
รูปสลักหินรูปหนึ่งพลันขยับมือ
สายตาทุกคู่จ้องมองไม่กระพริบ
ผู้คนพลันรู้สึกคล้ายมีไอเย็นคุกคามแผ่กระจายมาจากฝ่ามือรูปสลักหินนั่น
เป็นไอเย็นที่บาดผิวราวคมมีดกรีดเนื้อ
ตัวหมากดำขยับทั้ง ๆ ที่มือของผู้เดินหมากยังไม่สัมผัส
“วิชาพลังยะเยือก!” เขาอุทานด้วยความตื่นตะลึง
เคยได้ยินแต่อาจารย์เอ่ยถึง....
“พลังยะเยือกเป็นวิชาของสำนักวาตะทางทิศทักษิณ เคล็ดวิชาเน้นที่ความเชื่องช้ารอคอย ล้อมทำลายอย่างเลือดเย็น ผู้ฝึกปรือวิชานี้ จะ บีบคั้นฝ่ายตรงข้ามจนอึดอัด บีบคั้นจนกว่าฝ่ายตรงข้ามยอมสยบ เล่ากันว่าสุดยอดของเคล็ดวิชา จะบีบคั้นจนฝ่ายตรงข้ามคลุ้มคลั่ง”
“จะรับมือวิชานี้อย่างไรขอรับอาจารย์?”
“จุดอ่อนของวิชาพลังยะเยือกคือสิ่งเดียวกัน”
“ความเย็น?”
ผู้เฒ่าพยักหน้า
“จะรับมือได้อย่างไรในเมื่อข้าไม่มีวิชาพลังยะเยือก”
“มีความเย็นอีกรูปแบบ...ที่ไม่รุนแรงร้ายกาจ..แต่สยบสรรพสิ่ง”
ตัวหมากหินสลักสีดำสนิทเคลื่อนไปหยุดตรงตำแหน่งอย่างผ่วเบา
ความเย็นค่อย ๆ จางหาย
อีกฝ่ายยังคงนั่งนิ่ง
สายตาทุกคู่จ้องไปที่กระดานอย่างรอคอย
หัวคิ้วแต่ของผู้คนขยับจนแนบชิดสนิทกัน
ความนิ่ง...
ความเงียบ....
คล้ายขุมพลังหนักหน่วงก้อนหนึ่งกดทับลงมายังผู้คนที่ห้อมล้อม
จนแทบจะทนยืนต่อไปไม่ไหว
หินสลักอีกฝ่ายเริ่มขยับมือ
ตัวหมากขาวกระดอนขึ้นสูงเขาพลิกฝ่ามือวูบ
หมากเรือเลื่อนจากขอบกระดานไปยังฟากตรงข้าม
สถานการณ์ของหมากขาวเป็นรองขณะที่รูปหมากดูเหมือนเป็นต่อ
เสียงซุบซิบของผู้ชมเริ่มอื้ออึงด้วยความสงสัยว่าทำไมไม่บุกทั้ง ๆ ที่เป็นต่อ
คนผู้นั้นคงรู้ว่าตัวเองเพลี่ยงพล้ำ จึงใช้วิธีคุมเชิง รอจังหวะ
พลังยะเยือกแผ่กระจายขึ้นอีกครา
ครั้งนี้ดึงม้าขึ้นสูง เปิดช่องว่างให้ฝ่ายตรงข้ามบุกเข้ามา
อีกฝ่ายยังคงคุมเชิงรัดกุม
เมื่อพลังยะเยือกกระจายขึ้นอีก
ม้าที่ดูเหมือนว่าจะเป็นกับดัก กลับบุกทะลวงเข้าในตำแหน่ง ‘รุก’
เสียงหมากม้าดำกระแทกโต๊ะหินดังสนั่น พร้อมเสียง
“รุก!”
ผู้คนฮือกันอื้ออึงด้วยความตระหนก ไม่มีใครมองเห็นหมากตานั้นแม้แต่ตัวเขา
....เช่นนี้เอง...หมากระดับเทพ…ลึกล้ำเกินคาดคำนวณ
ฝ่ายขาวชักขุนหลบยอมเสียโคน ยังคงนิ่งดุจหินผา
พลันขยับฝ่ามือ หมากม้าหมุนติ้วลอยขึ้น
‘ไม่ได้!’
เขาเผลอส่งเสียงจิตที่แรงกล้าออกไป
ม้าขาวชะงักอยู่กลางอากาศ
‘ตานั้นเป็นกับดัก!’
พลันม้าพลิกตัวย้ายตำแหน่งลง
เป็นตำแห่งที่หมากรองกลับกลายเป็นได้เปรียบทั้ง ๆ ที่ตัวน้อยกว่า
การประลองยืดเยื้ออีกหลายชั่วยาม
หมากดำล้อมไล่ต้อน แต่ไม่สามารถทำให้หมากขาวจนมุมได้
เมื่อนับ*ศักดิหมากครบ ผลออกมาเสมอกัน
ผู้ชมที่อิดโรยปรบมือกึกก้อง
ฝ่ายหมากดำเอ่ยขึ้นว่า
“วันนี้ของปีหน้าข้าจะกลับมาใหม่ ถือว่าปีนี้ท่านโชคดี”
ผู้ใช้วิชาพลังยะเยือกขยับตัวเหลียวมองเด็กหนุ่ม
“ข้าก็โชคดีทุกปีแหละ เจอกันใหม่ปีหน้า” อีกฝ่ายตอบ
ต่างลุกขึ้นพนมมือลากันและกัน
ผู้ใช้วิชาพลังยะเยือกหันหลังก้าวเดินออกจากลานประลอง
ยังคงเหลือบมองเด็กหนุ่มด้วยแววตาที่ยากอธิบาย
ตะวันเริ่มอ่อนแสง
สายลมตะวันตกพัดแผ่วผงฝุ่นฟุ้งขึ้นจาง ๆ
ผู้คนพากันแยกย้ายกลับคืนเส้นทางที่จากมา
เสียงวิพากษ์วิจารณ์ระงมไปตลอดเส้นทาง
“เสียดายจริง ข้าคิดว่าเทพประจิมจะชนะ ข้าพนันไว้แทบหมดตัว”
“ผลออกมาเสมอเยี่ยงนี้เจ้ามือคงอิ่มหนำ” อีกคนสนทนา
“เจ้าคิดว่าฝีมือพวกเขาทั้งสองจะสู้เทพอุดรได้ไหม?”
“ข้าว่าคนหนึ่งที่โค่นอีกคนลงได้ น่าจะถึงระดับสู้กับเทพอุดรแล้วนะ”
“ข้าก็เห็นเช่นนั้น”
เด็กหนุ่มนิ่งฟังเสียงวิจารณ์ด้วยอยากรู้ความเป็นไปของโลกภายนอกให้มากขึ้น
เขาเริ่มอยากรู้ว่าตัวเขาอยู่ระดับไหนในเหล่านักเดินหมาก
ขณะกำลังก้าวตามคนกลุ่มนั้นไป มีเสียงเรียกจากด้านหลัง
“เด็กน้อย อย่าเพิ่งไป!”
เขาหันกลับ ชายผู้เดินหมากขาวนั่นเอง เขาเดินออกมาจากวงล้อมของผู้คน
“ข้าขอบใจเจ้ามากสำหรับม้าตานั้น”
“ท่านได้ยิน?” เด็กหนุ่มแปลกใจ
“ได้ยินสิดังลั่นปานนั้น เจ้าเทพประจิมก็ได้ยิน” เขาเดินมาหยุดยืนข้าง ๆ เด็กหนุ่ม
“ข้าไม่ได้ตั้งใจ ไม่ทราบจะทำให้ผิดกติกาหรือไม่?”
“ไม่ผิดหรอก การประลองครั้งนี้เป็นเรื่องของข้ากับเทพประจิม
ไม่เกี่ยวข้องกับ ‘ทำเนียบเซียน’ นับว่าเจ้าเข้ามาได้ถูกจังหวะพอดี ฮ่า ฮ่า”
เขาหัวเราะชอบใจยื่นมือตบไหล่เด็กหนุ่ม
“มา! เราเดินไปด้วยกันจะได้คุยกัน เจ้าชื่อเรียงเสียงไร? มาจากไหน? จะไปที่ใด?”
คนผู้นี้ยามเดินหมากดูเงียบขรึมตั้งมั่นราวหลักศิลา
ครั้นหันหลังให้กระดานหมากกลับเป็นคนอารมณ์ดีหัวเราะง่าย
ทั้งแววตาเต็มไปด้วยอัธยาศัยไมตรี
เด็กหนุ่มตอบไปว่า
“ข้าชื่อจอม ออกเดินทางจากสำนักอาจารย์เพื่อแสวงหาความหมายของชีวิต”
“ฮ่า ฮ่า ไม่เลว! อาจารย์เจ้าไม่เลว! จอมเจ้ามาจากสำนักใด? ใครเป็นอาจารย์เจ้า?”
“สำนักข้ามีเพียงอาจารย์กับข้า อาจารย์ข้าไม่มีชื่อ หากมีคงชื่อว่าอาจารย์”
“ฮ่า ฮ่า ไม่เลว! อาจารย์เจ้าไม่เลว หลุดพ้นจากตัวตน ยังมีศิษย์ฝีมือร้ายกาจเช่นเจ้า”
“ท่านไม่เคยเห็นข้าเดินหมาก ท่านรู้ได้เยี่ยงไรว่าข้ามีฝีมือ” จอมถามด้วยความสงสัย
“หมากที่เจ้าช่วยข้าไว้นั่นเป็นตาชี้เป็นชี้ตาย พลาดตาเดียวล้มทั้งกระดาน
ผู้ที่มองเห็นมีแต่สายตาระดับเทพ ดูเจ้าอายุไม่น่าจะเกิน ๑๘-๑๙ นับแต่บรรพกาลยังไม่
เคยมีผู้เข้าสู่ระดับเทพก่อนอายุ ๒๐ อย่าว่าแต่ข้ายังไม่เคยพบเห็นเด็กน้อยในวัยเจ้า
สามารถใช้เสียงจิตสักคน”
เบื้องหน้าผู้คนเดินลับหาย
ทั้งสองเดินคุยกันไปล้วนเรื่องหมาก
จอมกระตือรือร้นที่จะไต่ถามความเป็นไปของโลกภายนอก
จนระยะทางยาวไกลผ่านไปแค่รัดนิ้วมือ
แดดอ่อนลงรำไร
สายลมสนธยาพัดผงฝุ่นปลิวขึ้นเป็นครั้งคราว
“เจ้าจะเดินทางไปไหน?” เขาถามคำถามเดิม
“ข้าไม่มีจุดหมายปลายทาง เพียงเดินทางไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะพบความหมายแห่งชีวิต”
“ดี! เจ้าไปพักที่บ้านข้าสักคืน กินอาหารเย็นด้วยกันสักมื้อ ถือว่าตอบแทนที่เจ้าช่วยข้าไว้”
จอมลังเล นับแต่จากอาจารย์เขาเดินทางโดดเดี่ยวไม่เคยมีมิตรสหาย
อาศัยนอนตามศาลาวัด กุฏิร้าง ความโดดเดี่ยวทำให้เขาไม่คุ้นเคยกับรสชาติของมิตรภาพ
เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสิ่งนั้นคืออะไร เพียงเป็นความรู้สึกใหม่ที่ไม่เคยสัมผัส เขานิ่งงัน
“ว่าไง?” คนผู้นั้นถามซ้ำ
“ครับ! ขอบคุณครับ” เด็กหนุ่มตัดสินใจรับไมตรี
“ดี ๆ เราไปฉลองความเกือบพ่ายของข้า ฮ้า ฮ้า” เขาหัวเราะร่าตบไหล่จอมแรงขึ้นกว่าครั้งแรก
พวกเขาถึงที่พำนักเมื่อแสงอัสดงทาบทาขอบฟ้า
เบื้องหน้าเป็นกระท่อมไม้ไผ่มุงหญ้าคาที่สมถะเรียบง่าย
ตลอดแนวรั้วไม้ไผ่มีต้นถั่วฝักยาวทอดเลื้อย
เขาตะโกนเสียงก้อง
“ข้ากลับมาแล้ว!”
“สาระของการแข่งขันหาได้อยู่ที่ผลแพ้-ชนะ หากอยู่ที่ความสวยงามของการต่อสู้ การได้เรียนรู้จักตัวเองและผู้อื่น”
‘ราศีมีน’
*ศักดิ์หมาก คือ ค่าของตัวหมากแต่ละตัว
ให้นำศิกดิ์หมากทั้งกระดานมารวมกันเพื่อใช้ในการต้อนอีกฝ่ายที่เสียเปรียบให้จน หากนับศิกดิ์หมากครบแล้วยังไม่จนถือว่าเสมอ