๓. เทพยุทธนิรนาม

ทั้งสองเดินผ่านประตูรั้วเข้าไป
กระท่อมไม้ไผ่ร่มรื่นด้วยหมู่ไม้น้อยใหญ่
ด้านหน้าวางไว้ด้วยโต๊ะ-เก้าอี้ทำขึ้นจากสัดส่วนของรากไม้ชุดหนึ่ง
แสงสีสนธยาอาบทั่วบริเวณ

ชายผู้เป็นเจ้าของกระท่อมส่งเสียงซ้ำ

“ข้ากลับมาแล้ว!”

มีหญิงสาวร่างเล็กรวบผมหางม้าโผล่พรวดออกมาจากกระท่อมด้วยสีหน้าวิตกกังวล  นางถลาเข้าสวมกอดผู้ที่นางรอคอย 

“พี่ท่านยิ้มแย้มกลับมาคงเป็นข่าวดี?”

ไออุ่นบางอย่างแผ่กระจายจับหัวใจจอม  เป็นความรู้สึกที่เขาไม่เคยรับรู้มาก่อน
คล้ายมีรังสีชนิดหนึ่งห้อมล้อมเชื่อมโยงคนทั้งสองไว้ด้วยสัมผัสละมุนกรุ่นหอม
จอมมองคนทั้งคู่ด้วยรอยยิ้ม  ความรู้สึกบางอย่างก่อรูปขึ้นในหัวใจดวงน้อย

“เกือบพ่าย  โชคดีน้องชายคนนี้ช่วยไว้” เขาหันมาทางจอม  “จอมนี่เมย์เมียข้า”

จอมพนมมือไหว้ทักทาย  เมย์รับไหว้ตอบด้วยรอยยิ้ม

“สวัสดีจ้ะเข้าไปข้างในกันก่อนเถอะ เตรียมอาหารไว้แล้ว”

ทั้งหมดพากันเข้าไปในกระท่อม  ภายในเป็นห้องกว้างไร้เครื่องเรือนประดับประดา  เพียงมีโต๊ะเก้าอี้ชุดหนึ่งที่จัดวางสำรับอาหารรอท่า  ข้างผามีภาพเขียนภาพใหญ่เป็นลายพู่กันที่ตวัดอย่างรวดเร็วเป็นรูปตัวหมากม้า 
หญิงสาวกุลีกุจอตักข้าวใส่จานพลางกล่าวว่า

“ไยจึงกลับเสียมืดค่ำ?  ทำให้ข้าพเจ้าเป็นห่วงแทบแย่”

“เจ้าเทพประจิมมาเที่ยวนี้ฝีมือร้ายกาจนัก  หมากจึงได้ยืดเยื้อเป็นหลายชั่วยาม”

“ขนาดเกือบพ่ายเชียวหรือ?”

“ใช่ พลังยะเยือกของมันรบกวนจิตใจ ไม่รู้ว่ามันฝีมือดีขึ้นหรือฝีมือข้าแย่ลงนะสิ ฮา ฮา”

“ผู้คนกำลังคิดโค่นท่าน  พี่ท่านยังเห็นเป็นเรื่องสนุกสนาน”

“ข้าโค่นผู้คนไว้มากหลาย  ถึงยามนี้คงเป็นเวลาชดใช้..ว่าแต่..
ให้เราได้อาบน้ำอาบท่าก่อนไม่ดีกว่ารึ?” ผู้เป็นสามีกล่าว

“จริงสิ  ตามสบายนะจอมเดี๋ยวพี่อุ่นแกงจืดให้”

จอมยิ้มพยัก  เขาตะชิดตะขวงใจแม้มือยังไม้รู้จะวางไว้ที่ใด

“มา!  ข้าจะพาไปห้องพัก” ชายเจ้าของกระท่อมลุกขึ้นจากเก้าอี้เดินนำไป

ห้องสำหรับแขกเป็นห้องโล่ง ๆ เหมือนตัวบ้าน 
มีโต๊ะ เตียง กับภาพฝีมือพู่กันจีนเขียนเป็นบทกวีบนกระดาษ
จอมวางย่ามใบเดียวที่บรรจุข้าวของเครื่องใช้ของเขาลงบนเตียง

ลมพัดโชยเข้ามาทางหน้าต่างลูกกรงไม้ไผ่
กระท่อมนี้ทำให้จอมคิดถึงอาจารย์ขึ้นมาอย่างประหลาด

“อาบน้ำเสร็จแล้วไปกินข้าวด้วยกันนะจอม” เสียงเจ้าของบ้านดังลอดบานประตู

จอมอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าออกมาร่วมโต๊ะอาหารที่สองสามี-ภรรยากำลังนั่งสนทนา

“นั่งสิจอม ข้ากำลังเล่าให้เมย์ฟังเรื่องการประลองเมื่อวัน”

“จอมก็เป็นนักเดินหมากด้วยหรือ?” เมย์หันมาถาม

“ครับอาจารย์สอนข้าแต่เยาว์วัย “

“อาจารย์ของจอมคือใครจ๊ะ?”

“อย่าไปถามเขาเลย แม้แต่ชื่ออาจารย์เขายังไม่รู้ ฮ่า ฮ่า”

จอมไม่เคยคิดถึงคำถามเช่นนี้  “อาจารย์คือใคร?” “อาจารย์ชื่ออะไร?”
สำหรับจอมอาจารย์ก็คืออาจารย์  คือผู้ที่อบรมสั่งสอนเขามาจนเติบใหญ่

“นี่จ้ะ กินเยอะ ๆ นะ” เมย์ตักข้าวใส่จานส่งให้

“ตามสบายนะจอม  เมย์ทำอาหารอร่อย” 

ผู้เป็นสามีชมพลางส่งยิ้มให้นาง 
เมย์แย้มยิ้มตักข้าวพูนทัพพีเคาะลงในจานของเขาพลางส่งค้อน

เป็นอาหารค่ำอร่อยที่สุดตั้งแต่จอมจากอาจารย์มา
รสชาติอาหารบางครั้งหาได้จำเพาะสัมผัสด้วยปลายลิ้น
หากเป็นบรรยากาศรับประทานที่อบอุ่นกรุ่นไอรัก
รสชาติเช่นนี้มีแต่สัมผัสได้ก็ด้วยหัวใจ

ผู้เป็นสามีเอ่ยขึ้นว่า

“เล่าเมย์ถึงตอนที่เจ้าช่วยข้าไว้พอดี”

“จริงสิ  จอมเก่งอย่างนี้เคยแข่งได้ระดับไหนมาบ้าง?” เมย์ถาม

“เปล่าเลยครับอาจารย์ไม่เคยให้ข้าแข่ง  อาจารย์บอกว่าการแข่งขันก่อความขัดแย้งทั้งต่อตัวเองและผู้อื่น  อาจารย์ต้องการให้ข้าเดินหมากเพื่อกล่อมเกลาจิตใจ”

“อาจารย์ที่ดี  อาจารย์ที่ดี”  ผู้เป็นสามีรำพึง

เมย์ตักอาหารใส่จานให้จอมพลางเอ่ยว่า

“อยากรู้จริงว่าอาจารย์ของจอมคือใคร” 

“เดี๋ยวเดินหมากด้วยกันสักตาก็รู้ ว่าแต่เจ้าสนใจจะเข้า ‘ทำเนียบเซียน’ มั้ยล่ะ
จะได้รู้ว่าตัวเองมีฝีมือระดับไหน”

“แต่อาจารย์ไม่ต้องการให้ข้าเข้าแข่งขัน”

“ไฮ้! ยังไม่เข้าใจอีกรึ  อาจารย์อนุญาตให้เจ้าออกเดินทางหาประสบการณ์ชีวิต
นั่นหมายถึงท่านรู้ว่าถึงเวลาแล้วที่เจ้าจะต้องตัดสินใจด้วยตัวเอง”

จอมเคี้ยวข้าว...นิ่งคิด
จริงสิ....อาจารย์เพียงบอกหลักการ  แนวทาง 
ทุกครั้งอาจารย์จะปล่อยให้จอมค้นหาคำตอบหาทางออกด้วยตัวเอง....

“ไม่เป็นไรลองคิดดู  เจ้ายังมีเวลาอีกมากมายอายุเพิ่งแค่นี้....”

“เติมข้าวอีกหน่อยนะจ๊ะ”  เมตักข้าวเติมให้

“ขอบคุณครับ” จอมพนมมือไหว้ขอบคุณ

“ไว้วันพรุ่งข้าจะพาเจ้าไป”

“ไปไหนครับ?”

“นา..อย่าเพิ่งรู้เลย....ขออีกหน่อยนะจ๊ะ” เขาส่งจานให้เมย์

จอมกล่าวถามว่า

“คนที่ประลองกับท่านเมื่อยามวันไม่ทราบเป็นเทพประจิม
หนึ่งในจตุรเทพใช่หรือไม่?”

“ใช่ เขาล่ะ เทพประจิม ผู้ใช้พลังยะเยือกปราบเซียนหมากมานับไม่ถ้วน
เขาต้องการพิสูจน์ว่าเหนือกว่าข้าเพื่อเทียบชั้นเทพอุดร”

จอมตื่นตะลึง  เขาเพิ่งพบหนื่งในผู้มีพลังฝีมือสูงสุดในเหล่าเซียน
เขากลืนอาหารอย่างยากเย็น  กล่าวถามออกไป  

“ อาจารย์บอกว่าผู้ที่มีฝีมือสูงสุด ๔ ท่านในเหล่าเซียนคือจตุรเทพหรือท่านก็คือหนึ่งในนั้น”

“ไฮ้!  ข้ามันแค่คนนอกมิบังอาจมีชื่อในจตุรเทพหรอก”

“แต่เทพประจิมไม่สามารถเอาชนะท่าน....หรือท่านคือ....”  จอมชะงักงันเขายังจำถ้อยคำอาจารย์

อาจารย์นั่งขัดสมาธิเพชรบนหินเกลี้ยงก้อนใหญ่มีจอมคอยบีบนวด
เสียงอาจารย์แผ่วเบา.....

“.....ยังมีอีกผู้หนึ่ง ออกผาดโผนในวงการเซียนแต่เยาว์วัย  จนพลังฝีมือกล้าแกร่งไร้ผู้ต่อต้าน  ภายหลังกลับหลีกเร้น ไม่นำพาลาภยศชื่อเสียงจตุเทพมีฝีมือสูงส่งก็จริงแต่ไม่แน่ ว่าจะต้านทานคนผู้นี้”

“เช่นนั้นไยเขาจึงเร้นกายเสียล่ะอาจารย์”

“มนุษย์เราต่างมีเหตุผลของตัวเองที่จะกระทำหรือไม่กระทำบางเรื่อง”

จอมวางช้อนลงเลิกคิ้วถามออกไปว่า

“หรือท่านคือ.....เทพยุทธนิรนาม!”

“มิบังอาจ มิบังอาจ  ฉายาจอมปลอมที่เหล่านักเดินหมากตั้งให้”

เขาพูดทั้งกำลังเคี้ยวอาหาร 
เมย์หันมายิ้มจอมรีบทิ้งตัวลงคุกเข่า

“ข้าพเจ้าไม่ทราบว่าเป็นท่านจึงได้ล่วงเกิน อภัยด้วย ๆ”

“ไฮ้! ลุกขึ้นมาเจ้าหนู  ข้าไม่เคยสนใจฉายาพวกนั้น”

เขาตักข้าวเข้าปากไม่สนใจการคุกเข่าคารวะของจอม

“ข้าบอกให้ลุกขึ้น”

“ขอรับ” จอมลุกนั่งกล่าวต่อว่า

“อาจารย์มีถ้อยคำฝากถึงท่าน”

“อาจารย์เจ้ารู้จักข้ารึ?”

“นั่นไม่ทราบขอรับ”

“อาจารย์บอกว่าหากเจอท่านให้นำคำอาจารย์บอกต่อท่าน”

เทพยุทธนิรนามรอฟัง จอมเอ่ยคำ

“คบไฟ”

“แค่นั้น!?”

“ขอรับ แค่หนึ่งคำ”

เทพยุทธนิรนามขมวดคิ้วครุ่นคิดอาจารย์ของเจ้าหนู่นี่ย่อมไม่ใช่ชนชั้นสามัญ
ฝากถ้อยคำอันใดมาให้เรา.... ‘คบไฟ’

จอมอิ่มแล้วตั้งใจจะลุกเอาจานไปล้างแต่เมย์ห้ามไว้
เขาจึงทำได้เพียงไหว้ขอบคุณแล้วลุกออกมาหน้ากระท่อม
เพื่อให้สามี-ภรรยาได้สนทนากัน

คืนเดือนมืด....
ท้องฟ้าระยิบระยับไปด้วยดวงดาวดารดาษ
เห็นความสุขของการอยู่ร่วมเช่นนี้ทำให้เขาคิดถึงอาจารย์ขึ้นมาจับใจ
อยากจะกลับไป...ไปอยู่ร่วมกันเหมือนวันคืนเก่าก่อน 
ป่านนี้ใครจะดูแลอาจารย์...
น้ำตาจอมเอ่อขอบตา....

“นั่งคิดอะไรอยู่หรือจอม?” เทพยุทธนิรนามเดินออกมาหน้ากระท่อม

จอมเข็ดน้ำตา “คิดถึงอาจารย์ขอรับ”

“คงไม่เคยจากอาจารย์ไปไหนไกล ๆ สินะ”

“ขอรับ”

“เฮ้อ..ข้ามีคนให้คิดถึงไหมนี่” เขานั่งลงบนเก้าอี้รากไม้

“ท่านครับ  ชีวิตคืออะไรหรือขอรับ?”

เทพยุทธนิรนามนิ่งเงียบชั่วอึดใจจึงได้กล่าวว่า

“อืมม์  ความหมายชีวิตของแต่ละคนย่อมแตกต่างกัน
สำหรับข้าชีวิตข้าคือต้นหญ้าต้นนั้น” เขาชี้ไปที่ต้นหญ้าก้านเรียวยาว
“ต้นข้าง ๆ นั่นคือเมย์เรายืนหยัดฝ่าแดด ลม ฝน เคียงข้างกันแก่เฒ่าไปด้วยกัน”

“ต้นหญ้านั่นหรือขอรับคือชีวิต?”

“สำหรับข้า ใช่ แต่กับเจ้าไม่แน่   ชีวิตของเจ้า เจ้าต้องค้นหาด้วยตัวเองคำตอบของใคร ๆ เป็นแค่แง่คิดของคน ๆ หนึ่ง เจ้าอายุยังน้อยอย่าใจร้อน 
ข้าผ่านโลกจนวันนี้...ยังแค่เห็นภาพชีวิตขึ้นมาราง ๆ เท่านั้น”

จอมพนมมือกล่าว

“ขอบคุณขอรับอย่างน้อยข้าพเจ้าพอจะเข้าใจบางอย่าง....”

“ใจเย็น ๆ ค่อย ๆ คิด...” เทพยุทธนิรนามยิ้มตบไหล่
กล่าวต่อว่า “เจ้าพักผ่อนที่นี่ตามสบายเถิด” จากนั้นลุกขึ้นเดินกลับเข้ากระท่อม 

สายลมอุ่นพัดมาแผ่วเบา
จอมแหงนมองท้องฟ้า.....

ดาวหางดวงหนึ่งพุ่งผ่านเวิ้งนภา  สว่างวาบเพียงวูบแล้ววับหาย

แสงดาวพรายพร่าง...เกลื่อนฟ้า
ใกล้ราวจะสามารถไขว่คว้าหยิบจับ
หากความหมายแห่งชีวิตของเขา....คือหนึ่งในดวงดาวเหล่านั้น
เขาจะหาพบได้เช่นไร?....แล้วเมือไรจะได้กลับไปหาอาจารย์
คำสั่งครั้งนี้...ยากทำให้ลุล่วงเสียแล้ว...
เขารำพึง... “อาจารย์”

ก า ร ร น ห า ที่ ต า ย คื อ ท า ง ร อ ด ช นิ ด ห นึ่ ง 
                                                อสูรเหล็กไฟ

k r a t o m t u l e e Din : My Writing Life,