รุกฆาต

บทนำ

นานนับนานมาแล้ว
ที่ข้าได้ยินตำนานเล่าขานถึงบุรุษหนุ่มผู้หนึ่ง
ผู้ชึ่งต่อมาได้รับขนานนามว่า...
“จอมเซียนม้าทองคำ”
ผู้ล้มเซียนหมาก
คนแล้ว...คนเล่า...
จนผงาดขึ้นสู่ตำแหน่ง “ยอดเซียน” ที่อยู่เหนือเซียนทั้งมวล
ตำนานของท่านเปรียบดัง “เปลวเพลิง” โชติช่วง
ส่องสว่างผ่านกาลเวลา   
เชื่อมต่ออดีต...สู่อนาคตกาล
เป็นแรงบันดาลใจให้ชนรุ่นหลัง
ได้ก้าวเดินไปบนมรรคาของการค้นหาความหมายแห่ง..ชีวิต
ขยับเข้ามาใกล้ ๆ!
ข้าอายุปูนนี้แล้วไม่อาจแผดเสียงดังได้มากนัก
ข้าจะเล่าให้เจ้าฟัง
เหมือนดังที่ปู่ของข้าเคยเล่า...

รุกฆาต


ชุดโต๊ะประลองขาวโพลนอยู่ใต้หลังคาจั่วทรงไทยห้อยลงมาจากเพดานสูง  บริเวณโต๊ะประลองล้อมไว้ด้วยเชือกขาวเส้นใหญ่  บ่งบอกสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ห้ามผู้ใดเหยีบย่ำเข้าไปยกเว้นสุดยอดเซียนหมากคู่ชิงทั้งสอง

การประลองเปรียบเหมือนหนทางเข้าสู่สัจธรรมวิมุติ  เจ้าหน้าที่ทำเนียบเซียนก่อนที่จะเป็นผู้ตัดสิน  ต้องชำระกาย-ใจ ถือศีลภาวนาเป็นเวลา ๗ วัน  ผู้ได้ชัยที่ก้าวออกมาจากธรรมสีมาศักดิ์สิทธิ์จะประดุจศาสดาผู้บรรลุโลกุตรธรรมสูงสุด

บนกระดานหินแกรนิตเนื้อแข็งเป็นมันวาว  ตัวหมากพิเศษแกะสลักลวดลายประณีตยืนสงบนิ่งรอการประลอง  มีแต่ตัวหมากพิเศษเหล่านี้เท่านั้นที่จะทานรับพลังระดับยอดเซียนได้

ตุงหลากสีแขวนกระจายไปทั่วทั้งเพดานโถง ส่วนบนหายไปในเงามืดของโดมหลังคา ทิ้งส่วนปลายพลิ้วยาวลงมาต้องแสงไฟ

เสียงเจ้าหน้าที่ประกาศดังขึ้น
สรรพเสียงอึงอลเงียบลงในทันที

“บัดนี้ได้เวลาแล้วที่ทุกท่านจะได้พบกับ” เว้นจังหวะชั่วครู่แล้วกล่าว  "สองสุดยอดนักเดินหมาก ที่ทอดตาทั่วทั้งแผ่นดินหามีผู้ทัดเทียม!"

เสียงปรบมือโห่ร้องดังก้องราวฟ้าถล่มทลาย  เจ้าหน้าที่กล่าวต่อว่า

"ขอแนะนำหมากขาว..หนึ่งเดียวจากนักเดินหมากหน้าใหม่ที่ผ่านเข้ามา  หนึ่งเดียวผู้พลิกประวัติศาสตร์ทำเนียบเซียน และหนึ่งเดียวที่กำลังจะพิชิตตำแหน่ง ‘ยอดเซียน’ อายุน้อยที่สุดในวงการ”

เจ้าหน้าที่กล่าวเน้นเสียงดังขึ้นเรื่อย ๆ

“เขากำลังจะพิสูจน์ตัวเอง..เชิญทุกท่านพบกับ..เซียนหมากผู้เดินทางร่อนเร่พเนจรไร้ที่มาไร้ที่ไปดุจ..เ ม ฆา ล่ อ ง ล อ ย !”

เสียงปรบมือยาวนานดังสนั่นโถง  พวกเซียนหมากที่มาให้กำลังใจต่างส่งเสียงเมฆาล่องลอยซ้ำ ๆ พร้อมจังหวะปรบมือ

บุรุษหนุ่มในชุดขาวเดินออกมาด้วยสีหน้าสงบนิ่ง  ผมเรียบยาวดำขลับสะท้อนเงาวาว  คิ้วคมเข้มจมูกโด่งเป็นสันขับใบหน้าคมคายเคร่งขรึมราวรูปสลัก  มีชายสูงวัยกว่าเดินเคียงข้างยิ้มแย้มโบกมือให้ผู้คน  สุดทางพรมแดงถึงสีมาศักดิ์สิทธิ์ที่ล้อมไว้ด้วยเชือกขาว  ชายสูงวัยสัมผัสมือบุรุษหนุ่ม เขายิ้ม  ชายสูงวัยผงกศีรษะแล้วเดินไปยังที่นั่งตน

บุรุษหนุ่มก้าวเข้าในเขตสีมาศักดิ์สิทธิ์หยุดยืนด้านหมากขาว หันมองผู้คนทั่วโถง แสงไฟสว่างจ้าจับใบหน้าคมเข้มโดดเด่นดุจบัณฑิตหนุ่มผู้สำเร็จเซียน

horseend

๑. ผู้เฒ่า


ลำแสงสนธยากาลทอดผ่านทิวเขาเบื้องหน้า
ฝูงสกุณาบินกลับรังส่งเสียงร้องมาจากฟากฟ้าไกล
หนึ่งผู้เฒ่า
หนึ่งเยาว์วัย
ยืนชมอาทิตย์อัสดง

ผู้เฒ่าเอ่ยถาม

“มองแล้วเจ้ารู้สึกเช่นไร ?”

ผู้เยาว์นิ่งคิดก่อนกล่าว

“หดหู่ขอรับอาจารย์ หดหู่เหนื่อยล้า”

“อะไรทำให้เจ้ารู้สึกเยี่ยงนั้น ?”

“ไม่ทราบขอรับ ข้าเพียงรู้สึกหดหู่ซึมเศร้าทุกครั้งเมื่อมองอาทิตย์อัสดง สดชื่นมีชีวิตชีวาเมื่อเห็นอรุโณทัย”

ผู้เฒ่ากล่าวอย่างแช่มช้าเน้นเสียง

“เจ้าตื่นเช้าหลังพักผ่อนมาทั้งคืนเจ้าจึงสดชื่น  เจ้าตื่นมาทั้งวันเมื่อถึงเวลาเย็นจึงอ่อนล้า  แสงสว่างที่มาขับไล่ความมืดให้ความหวัง  แสงสว่างที่กำลังจะจากไปให้ความท้อแท้สิ้นหวัง  ทั้งหมดเป็นเพียงปรากฎการณ์หมุนเปลี่ยน  ความรู้สึกล้วนเกิดเพราะใจเรา”

“ใจหรือขอรับ?”

เด็กหนุ่มเหลียวมองอาจารย์ ผู้เฒ่าจ้องวงแสงเรื่อเรืองตรงขอบฟ้ากล่าวว่า

“จิตใจเป็นดั่งสายน้ำ สายน้ำที่ถูกควบคุมมีแต่รอวันเน่าเสีย  สายน้ำที่ไหลอย่างอิสระจึงเต็มด้วยพลัง”

เด็กหนุ่มขมวดคิ้ว  ผู้เฒ่ากล่าวสืบไป

“เจ้าเพียงเฝ้ามองจิตใจ มองความรู้สึก เช่นนั่งมองสายน้ำแล้วสายน้ำจะพูดคุยกับเจ้า”

“ขอรับอาจารย์”

ผู้เฒ่าลูบศีรษะศิษย์น้อยประกายตาสะท้อนแสงสีสนธยาเจิดจ้า เบือนหน้าเหลียวมองทิวเขาสลับซ้บซ้อน  ทั้งสองนิ่งมองดวงโคมสว่างสุกใสค่อย ๆ ลับเหลี่ยมเขา  ผู้เฒ่ามองด้วยแววตาสงบ แต่สำหรับเด็กหนุ่มนั้นต่างกัน  จิตใจของเขาเต็มด้วยคำถาม

“อาจารย์” เด็กหนุ่มส่งเสียงแผ่ว “ชีวิตคืออะไรขอรับ?”

ผู้เฒ่ายืนนิ่ง  ดวงตาชราสะท้อนสะท้าน เหม่อมองแสงทองกำลังลาลับ ท่านทอดถอนใจ

“เป็นหน้าที่ของเจ้าจะต้องค้นหาคำตอบด้วยตัวเอง  มีผู้แสวงหามากมายต่างออกเดินทางก่อนหน้าเจ้า  คงได้เวลาของเจ้าแล้ว” ผู้เฒ่าถอนใจอีกครั้งก่อนกล่าว “ออกเดินทางไปค้น
หาให้พบ  ได้คำตอบแล้วจึงกลับมาหาอาจารย์”

ตะวันรอนจวนลับเหลี่ยมเขา
เหลือไว้แต่ลำแสงเรืองเรื่อทอทาบขอบฟ้า
ความมืดกำลังคืบคลานมา

บนเส้นทางกลับที่พัก
เงาสองสายทอดไปเบื้องหน้า

หนึ่งทอดยาว
หนึ่งสั้น


horseend
อ า วุ ธ ท ร ง พ ล า นุ ภ า พ ที่ สุ ด ใ น บ ร ร ด า อ า วุ ธ ทั้ ง ม ว ล คื อ.. จิ ต ใ จ
                                                         “เทพยุทธนิรนาม”



๒. การประลองแห่ง ‘เทพ’


ด็กหนุ่มออกเดินทางรอนแรมไร้จุดหมายดุจเมฆาล่องลอยบนฟากฟ้า

บ่ายคล้อยเปลวแดดแผดจ้า เนินเขาทอดยาวลดหลั่นขึ้นลงราวทิวคลื่น ตลอดเนินมีเรียวหญ้าสูงเกือบท่วมศีรษะพัดไหวล้อลมร้อน นานทีพบไม้ใหญ่สักต้น ดอกหญ้าสะท้อนแสงสว่างโพลนในเพลิงแดด  เส้นทางสัญจรแคบ ๆ ลัดเลาะไปบนแนวเนิน

เด็กหนุ่มหลบเข้าใต้เงาไม้ข้างทาง  ปลดกระบอกไม้ไผ่ยกขึ้นดื่ม ผิวไผ่ร้อนผ่าวในอุ้งมือ แม้น้ำก็เป็นน้ำอุ่น เขากลืนแค่อึกเดียว เหลือน้ำก้นกระบอกอีกนิดหน่อย  ยัดใบตองแห้งอุดปากกระบอกไว้ดังเดิมแล้วสะพายไหล่  ขยับปมเชือกให้ตึงลดแรงกระแทกยามย่ำเดิน  ดึงผ้าผืนจากในย่ามออกมาเช็ดใบหน้าซับเหงื่อแล้วพันไว้รอบศีรษะ  เด็กหนุ่มยกฝ่าเท้าขึ้นดู รองเท้าฟางของเขายามนี้สึกร่อนจนส้นเท้าสัมผัสพื้น ขยับย่ามกระชับไหล่แล้วออกเดิน

สักพักเส้นทางสัญจรบรรจบสามแพร่ง  บนหนทางตัดผ่านมีผู้คนเร่งรีบเดินฝ่าไอแดด  บ้างมาโดยเดียว  บ้างเดินเป็นกลุ่มส่งเสียงพูดคุย  เด็กหนุ่มหยุดมองคนเหล่านั้นด้วยความสงสัยใคร่รู้  ชายกลางคนผู้หนึ่งเดินผ่านหน้าเขา  เด็กหนุ่มร้องถาม

“ขอโทษเถอะท่าน เหล่าท่านกำลังมุ่งหน้าไปไหน?  มีเหตุใดเกิดขึ้นหรือ?”

ชายผู้นั้นกล่าวตอบ

“เจ้าไม่รู้หรือไร  มีการประลองระดับเทพ ที่ดอยม่านหมอก” กล่าวจบเร่งจ้ำตามกลุ่มเพื่อนที่เดินนำหน้า

“การประลองระดับเทพ!”

เด็กหนุ่มทวนคำ  ครั้งอยู่กับอาจารย์เขาไม่เคยประลองกับใคร  อาจารย์สอนให้เดินหมากเพื่อกล่อมเกลาจิตใจ  หาใช่เพื่อการแก่งแย่งแข่งขัน  เขายังจดจำถ้อยคำอาจารย์

“โลกภายนอกเต็มไปด้วยการแข่งขันแย่งชิง  ผู้คนในใต้หล้าตั้งแต่กำเนิดเกิดมาก็จมอยู่กับปลักตมแห่งการยื้อแย่งช่วงชิง  มีบ้างบางคนที่สามารถบีนป่ายจนหลุดพ้นแต่ยังมีอีกมากที่ฝังร่างอยู่ใต้ตมแห่งการยื้อแย่งแข่งขัน”  ผู้เฒ่ากล่าวขณะมองไปที่ไกลตา


เด็กหนุ่มเอ่ยถามขึ้นว่า


“หากไม่ใช่เพื่อชัยชนะ เช่นนั้นเราฝึกเดินหมากเพื่ออะไรเล่าอาจารย์?”


“เดินหมากก็เหมือนดำเนินชีวิต  เจ้าต้องคิดทุกครั้งก่อนขยับหมาก  ใช่เพียงคิดผิวเผินแต่เป็นคิดอย่างสุขุมรอบคอบ  นอกจากคิดไปหน้ายังต้องคิดมาหลัง  รู้จักอดทนอดกลั้นรอคอย  เหล่านี้ล้วนส่งผลต่อจิตใจ  เดินหมากเช่นไร อุปนิสัยย่อมเป็นเช่นนั้น  หมากจะช่วยขัดเกลาจิตใจเจ้าทีละน้อย  จนกว่าบรรลุภาวะสูงสุด  นั่นคือที่หมายของผู้เดินบนมรรคาแห่งหมาก”

เขาน้อมรับคำสอนสั่งของอาจารย์ไว้เหนือเกล้า แต่ลึกในใจก็อยากรู้อยากเห็นโลกภายนอก
กระทั่งบางครั้งยังนึกสงสัยว่าผู้คนในโลกหล้าเดินหมากกันเช่นไร เด็กหนุ่มตัดสินใจติดตามคนกลุ่มนั้นไป

ไม่นานลุถึงลานหิน  เลยออกไปเป็นท้องฟ้าเวิ้งว้าง  ลานศิลาเต็มด้วยผู้คนยืนล้อมเป็นวง  เขาแทรกตัวเข้าไป

กลางลานวางไว้ด้วยโต๊ะเก้าอี้หินเนื้อเนียนเรียบ มีตัวหมากขาว-ดำสลักจากหินเนื้อดีวางกระจายอยู่บนโต๊ะ  เหนือเก้าอี้หิน คนสองคนนั่งนิ่งเพ่งมองตัวหมากบนกระดาน

ทั่วลานประลองมีผู้คนแต่กลับเงียบสงัด ยินเพียงเสียงสกุณาแว่วมาจากที่ห่างไกล

คนที่นั่งข้างหมากดำพลันขยับมือ

สายตาทุกคู่จ้องมองไม่กะพริบ  ผู้คนพลันรู้สึกคล้ายมีไอเย็นคุกคามแผ่กระจายจากฝ่ามือนั่น เป็นไอเย็นที่บาดผิวราวคมมีดกรีดเนื้อ

ตัวหมากดำขยับทั้งมือของผู้เดินหมากยังไม่สัมผัส

“วิชาพลังยะเยือก!” เขาอุทานด้วยความตื่นตะลึง เคยได้ยินแต่อาจารย์เอ่ยถึง

“พลังยะเยือกเป็นวิชาของสำนักวาตะทางทิศทักษิณ  เคล็ดวิชาเน้นที่ความเชื่องช้ารอคอย ปิดล้อมทำลายอย่างเลือดเย็น  ผู้ฝึกปรือวิชานี้จะบีบคั้นฝ่ายตรงข้ามจนอึดอัด  บีบคั้นจนฝ่ายตรงข้ามยอมสยบ  เล่ากันว่าสุดยอดของเคล็ดวิชา  จะบีบคั้นจนฝ่ายตรงข้ามคลุ้มคลั่ง”


“จะรับมือวิชานี้อย่างไรขอรับอาจารย์?”


“จุดอ่อนของวิชาพลังยะเยือกคือสิ่งเดียวกัน”


“ความเย็น?”


ผู้เฒ่าพยักหน้า


“จะรับมืออย่างไรในเมื่อข้าไม่มีวิชาพลังยะเยือก”


“มีความเย็นอีกรูปแบบที่ไม่รุนแรงร้ายกาจ แต่สยบสรรพสิ่ง”

ตัวหมากหินสลักสีดำสนิทเคลื่อนไปหยุดตรงตำแหน่งอย่างแผ่วเบา  ความเย็นค่อย ๆ จางหาย  อีกฝ่ายยังคงนั่งนิ่ง  สายตาทุกคู่จับจ้องไปที่กระดาน  หัวคิ้วร่นขยับจนแทบชิดติดกัน ความนิ่ง ความเงียบคล้ายขุมพลังหนักหน่วงก้อนหนึ่งกดทับลงมายังผู้คนที่ห้อมล้อม  อึดอัดจนแทบทนยืนต่อไม่ไหว

อีกฝ่ายเริ่มขยับมือ

ตัวหมากขาวดีดขึ้นสูง เขาพลิกฝ่ามือวูบ
หมากเรือเลื่อนจากขอบกระดานไปยังฟากตรงข้าม

สถานการณ์ของหมากขาวเป็นรองขณะรูปหมากดูเหมือนเป็นต่อ  เสียงซุบซิบของผู้ชมเริ่มอื้ออึงด้วยความสงสัยว่าทำไมไม่บุกทั้ง ๆ ที่เป็นต่อ  คนผู้นั้นคงรู้ตัวเองเพลี่ยงพล้ำ  จึงใช้วิธีคุมเชิง  รอจังหวะ

พลังยะเยือกแผ่กระจายขึ้นอีกครา

ครั้งนี้ดึงม้าขึ้นสูง  เปิดช่องว่างให้ฝ่ายตรงข้ามบุกเข้ามา  อีกฝ่ายยังคงคุมเชิงรัดกุม
เมื่อพลังยะเยือกกระจายขึ้นอีก  ม้าที่ดูเหมือนเป็นกับดัก  บุกทะลวงเข้าในตำแหน่งรุก

เสียงหมากม้าดำกระแทกโต๊ะหินดังสนั่น พร้อมเสียง

 “รุก!”

ผู้คนฮือกันอื้ออึงด้วยความตระหนก  ไม่มีใครมองเห็นหมากตานั้นแม้แต่ตัวเขา เช่นนี้เอง หมากระดับเทพ ลึกล้ำเกินคาดคำนวณ เขารำพึง

ฝ่ายขาวชักขุนหลบยอมเสียโคน  ยังคงนิ่งดุจหินผา ขยับฝ่ามือช้า ๆ หมากม้าหมุนติ้วลอยตัวขึ้น

‘ไม่ได้!’

เขาเผลอส่งเสียงจิตที่แรงกล้าออกไป
ม้าขาวชะงักกลางอากาศ

‘ตานั้นเป็นกับดัก!’

พลันม้าพลิกตัวย้ายตำแหน่งลง  หมากรองกลับกลายได้เปรียบทั้งตัวน้อยกว่า  การประลองยืดเยื้ออีกหลายชั่วยาม  หมากดำล้อมไล่ต้อน  แต่ไม่สามารถทำให้หมากขาวจนมุม  เมื่อนับ*ศักดิหมากครบ  ผลออกมาเสมอกัน  ผู้ชมที่อิดโรยปรบมือกึกก้อง

ฝ่ายหมากดำเอ่ยขึ้นว่า

“วันนี้ของปีหน้าข้าจะกลับมาใหม่  ถือว่าปีนี้ท่านโชคดี” ผู้ใช้วิชาพลังยะเยือกขยับตัวเหลียวมองเด็กหนุ่ม

“ข้าก็โชคดีทุกปีแหละ เจอกันใหม่ปีหน้า” อีกฝ่ายกล่าวตอบ

ต่างลุกขึ้นพนมมือลากันและกัน  ผู้ใช้วิชาพลังยะเยือกก้าวเดินออกจากลานประลอง  ยังเหลือบมองเด็กหนุ่มด้วยแววตายากอธิบาย

ตะวันเริ่มอ่อนแสง
สายลมตะวันตกพัดผงฝุ่นจาง ๆ วนฟุ้งขึ้น
ผู้คนพากันแยกย้ายกลับเรือน
เสียงวิพากษ์วิจารณ์ระงมตลอดเส้นทาง

“เสียดายจริง ข้าคิดว่าเทพประจิมจะชนะ ข้าพนันไว้แทบหมดตัว”

“ผลออกมาเสมอเยี่ยงนี้เจ้ามือคงอิ่มหนำ” อีกโต้ตอบ

“เจ้าคิดว่าฝีมือพวกเขาทั้งสองสู้เทพอุดรได้ไหม?”

“ข้าว่าคนที่โค่นอีกคนลงได้  น่าจะถึงระดับสู้กับเทพอุดรแล้วนะ”

“ข้าก็เห็นเช่นนั้น”

เด็กหนุ่มนิ่งฟังเสียงวิจารณ์ด้วยอยากรู้ความเป็นไปของโลกภายนอก  ความสงสัยก่อตัวขึ้นคล้ายมวลหมอกจาง ๆ เขาใคร่รู้ว่าตนเองอยู่ระดับไหนในเหล่านักเดินหมาก  ขณะกำลังก้าวตามคนกลุ่มนั้นไป  มีเสียงเรียกจากด้านหลัง

“เด็กน้อย อย่าเพิ่งไป!”

เขาหันกลับ  คนที่เดินหมากขาวนั่นเอง  เขาก้าวออกจากวงล้อมผู้คนสีหน้าแย้มยิ้ม

“ขอบใจเจ้ามากสำหรับม้าตานั้น”

“ท่านได้ยิน?” เด็กหนุ่มแปลกใจ

“ได้ยินสิดังลั่นปานนั้น  เจ้าเทพประจิมก็ได้ยิน” เขาเดินมาหยุดยืนข้าง ๆ เด็กหนุ่ม

“ข้าไม่ได้ตั้งใจ  ไม่ทราบจะทำให้ผิดกติกาหรือไม่?”

“ไม่ผิดหรอก  การประลองครั้งนี้เป็นเรื่องของข้ากับเทพประจิม  ไม่เกี่ยวข้องกับ ‘ทำเนียบเซียน’  นับว่าเจ้ามาได้ถูกจังหวะพอดี” กล่าวจบหัวร่อฮา ฮา ยื่นมือตบไหล่เด็กหนุ่ม “มา! เราเดินไปด้วยกันจะได้คุยกัน  เจ้าชื่อเรียงเสียงไร? มาจากไหน? จะไปที่ใด?”

คนผู้นี้ยามเดินหมากดูเงียบขรึมหนักแน่นราวหลักศิลา  ครั้นหันหลังให้กระดานหมากกลับเป็นคนอารมณ์ดีหัวเราะง่าย  ทั้งแววตาเต็มไปด้วยมิตรไมตรี

เด็กหนุ่มตอบไปว่า

“ข้าชื่อจอม ออกเดินทางจากสำนักอาจารย์เพื่อแสวงหาความหมายของชีวิต”

“ไม่เลว!  อาจารย์เจ้าไม่เลว!” เขาหัวร่อฮา ฮา “จอมเจ้ามาจากสำนักใด? ใครเป็นอาจารย์เจ้า?”

“สำนักข้ามีเพียงอาจารย์กับข้า” จอมตอบ “อาจารย์ข้าไม่มีชื่อ  หากมีคงชื่ออาจารย์”

“ไม่เลว! อาจารย์เจ้าไม่เลว  หลุดพ้นจากตัวตน  ยังมีศิษย์ฝีมือร้ายกาจเช่นเจ้า”

“ท่านไม่เคยเห็นข้าเดินหมาก  รู้เยี่ยงไรว่าข้ามีฝีมือ” จอมถาม

“หมากที่เจ้าช่วยข้าไว้นั่นเป็นตาชี้เป็นชี้ตาย  พลาดตาเดียวล้มทั้งกระดาน  ผู้ที่มองเห็นมีแต่สายตาระดับเทพ  ดูเจ้าอายุไม่น่าจะเกิน  ๑๘-๑๙  นับแต่บรรพกาลยังไม่เคยมีใครเข้าสู่ระดับเทพก่อนอายุ ๒๐  อย่าว่าแต่ข้ายังไม่เคยพบเห็นเด็กน้อยวัยเจ้าสามารถใช้เสียงจิตสักคน”

เบื้องหน้าผู้คนเดินลับหาย  ทั้งสองเดินคุยกันไปล้วนเรื่องหมาก  จอมกระตือรือร้นไต่ถามความเป็นไปโลกภายนอก  จนระยะทางยาวไกลผ่านแค่รัดนิ้วมือ

แดดอ่อนลงรำไร
สายลมสนธยาพัดผงฝุ่นปลิวขึ้นเป็นครั้งคราว

“เจ้าจะเดินทางไปไหน?” เขาเอ่ยคำถามเดิม

“ข้าไม่มีจุดหมาย” จอมตอบ “เดินทางไปเรื่อย ๆ จนกว่าพบความหมายแห่งชีวิต”

“ดี!” ชายหนุ่มกล่าวเสียงดัง “เจ้าไปพักบ้านข้าสักคืน  กินอาหารเย็นด้วยกันสักมื้อ  ถือว่าตอบแทนที่เจ้าช่วยข้าไว้”

จอมลังเล  นับแต่จากอาจารย์เขาเดินทางโดดเดี่ยวไม่เคยมีมิตรสหาย  อาศัยนอนตามศาลาวัด กุฏิร้าง  ความโดดเดี่ยวทำให้เขาไม่คุ้นกับรสชาติของมิตรภาพ เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสิ่งนั้นคืออะไร  เป็นความรู้สึกใหม่ที่ไม่เคยสัมผัส  เขานิ่งงัน

“ว่าไง?” คนผู้นั้นถามซ้ำ

“ครับ! ขอบคุณครับ” เด็กหนุ่มตัดสินใจรับไมตรี

“ดี ๆ เราไปฉลองความเกือบพ่ายของข้า ฮา ฮา” เขาหัวเราะร่าตบไหล่จอมแรงกว่าครั้งแรก

ทั้งสองถึงที่พำนักเมื่อแสงอัสดงทาบทาขอบฟ้า  เบื้องหน้าเป็นกระท่อมไม้ไผ่มุงหญ้าคาสมถะเรียบง่าย  ตลอดแนวรั้วไม้ไผ่มีต้นถั่วฝักยาวทอดเลื้อย  เขาตะโกนเสียงก้อง

“ข้ากลับมาแล้ว!”

horseend
สาระของการแข่งขันหาได้อยู่ที่ผลแพ้-ชนะ  หากอยู่ที่ความสวยงามของการต่อสู้  การได้เรียนรู้จักตัวเองและผู้อื่น                                                                                                                      ราศีมีน

k r a t o m t u l e e Din : My Writing Life,